พระธรรม โยบ

บทที่ 3    โยบโอดครวญด้วยเรื่องกำเนิดของตน

โยบ

                ในที่สุดโยบรำพันขอให้สาปแช่งวันที่เขาเกิด

                พระเจ้าข้าโปรดสาปแช่งวันที่          ตัวข้านี้เกิดกายในโลกหล้า

โปรดสาปแช่งคืนที่ก่อกำเนิดมา                       มีชีวาในครรภ์ของมารดร

ขอพระองค์เปลี่ยนวันอันขมขื่น                       เป็นกลางคืนมืดลงทรงไถ่ถอน

อย่าคิดถึงวันนั้นผันจากจร                                 ขอวิงวอนแสงทอง อย่าส่องมา

ให้วันนั้นเป็นวันที่มืดมิด                                   ดวงอาทิตย์เมฆบังกลางเวหา

ในรอบปีอย่าได้มีคืนนั้นนา                               เลิกนำพานับรวมมาร่วมกัน

ขอให้เป็นคืนเศร้าสุดเหงาหงอย                      ชีวิตพลอยเปี่ยมทุกข์ไร้สุขสันต์

ให้คนทำเวทมนตร์บ่นรำพัน                            สาปแช่งวัน ด้วยคาถาและอาคม

จงบอกคนสามารถดีมีปัญญา                             ซึ่งบัญชาเลวีอาธานได้เหมาะสม

อย่าให้ดาวประกายพรึกอันน่าชม                    แสงระทมอย่าส่องให้หมองมัว

ให้คืนนั้นสิ้นหวังกระทั่งเช้า                            คืนแสนเศร้าขอสาปเคล้าบาปทั่ว

ข้าเกิดมาสู่ทุกข์รุกพันพัว                                   ลำบากตัวยากใจมิวายครวญ

                ข้าพระองค์อยากตายมลายสิ้น           ตั้งแต่พิ้นอยู่ในครรภ์ให้ปั่นป่วน

หรือวอดวายชีวาไร้ค่าควร                                 สลายถ้วนไม่รอดเมื่อคลอดมา

เหตุใดแม่อุ้มชูเอ็นดูนัก                                      ไว้บนตักดูแลและรักษา

ไฉนแม่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกยา                          ถนอมข้าจนเติบใหญ่ทำไมกัน

ถ้าข้าตายแต่คราเวลานั้น                                    คงสงบสันต์สุขใจไม่ไหวหวั่น

จะได้หลับไม่ตื่นชื่นชีวัน                                   เหมือนราชันและผองผู้ครอบเมือง

ซึ่งสร้างราชวังเก่าขึ้นมาใหม่                            ข้าจะได้หลับสนิทจิตฝันเฟื่อง

เหมือนเจ้านายมากมายทรัพย์สินรุ่งเรือง        บ้านนองเนืองของมีบริบูรณ์

จะนอนหลับพับไปไม่วิตก                                ดุจทารกคลอดแล้วตายมลายสูญ

คนชั่วตายสลายชั่วกลั้วปฏิกูล                           อย่าอาดูรคนเหนื่อยหนักพักบั้นปลาย

แม้นักโทษก็ยังหวังชื่นชม                                 ความสุขสมสงบจิตคิดมั่นหมาย

พ้นสำเนียงเกรี้ยวกราดตวาดกราย                   คำสั่งหายเสียงดังสิ้นรังควาน

ไม่ว่าใครคนใหญ่จนคนเล็กน้อย                     ทั้งทาสด้อยปัญญาฟังว่าขาน

ณ ที่นั้นปวงชนดลชื่นบาน                                ทุกดวงมานในบั้นปลายได้เสรี

                เหตุไฉนจึงปล่อยให้มนุษย์อยู่           ปล่อยชีวีให้สิ้นหวังหรืออย่างไร

โอ้ความตายนี้หนอเขารอคอย                           ยังเลื่อนลอยไม่รู้ซึ้งถึงวันไหน

ปรารถนาอุโมงค์ฝังหวังพักใจ                          กว่าสิ่งใดไม่ปองหมดต้องการ

ไม่มีความสุขใดจุใจสิ้น                                       ตราบแผ่นดินกลบหน้าไว้ในสุสาน

พระเจ้าซ่อนอนาคตกำหนดมาน                      ทางทุกด้านล้อมกระชับกำกับการ

ข้าพระองค์ระทมตรมอุรา                                  กินน้ำตาต่างข้าวปลาสรรพอาหาร

ข้าหวนไห้ใจช้ำซ้ำซมซาน                                วันเนิ่นนานผ่านไปไม่วายครวญ

ข้าพระองค์กลัวสิ่งใดมักได้พบ                         ต้องประสบสิ่งนั้นแผกผันผวน

ไม่ได้ผ่อนพักสงบสบสุขมวล                            ทุกข์รบกวนเกาะใจไม่คลายเลย
 

บทที่ 4 เอลีฟัสต่อว่าโยบ

เอลีฟัส

                เธอจะเคืองฉันไหมใคร่พูดบ้าง        ทนอยู่อย่างเงียบไฉนไม่นิ่งเฉย

เธอสอนคนอ่อนพลังเธอยังเคย                        พร่ำเฉลยวาจามามากมาย

เมื่อมีผู้สะดุดหยุดพักผ่อน                                  เพราะเหนื่อยอ่อนแรงเปลี้ยเพลียไม่หาย

ถ้อยคำเธอช่วยปลอบใจให้สบาย                     ยืดหยัดกายมั่นเหมาะก็เพราะเธอ

ณ บัดนี้ถึงคราวที่เธอเดือดร้อน                         กลับสะท้อนนิ่งไปไม่เสนอ

ไม่กล้าหาญเหมือนเก่าที่เราเจอ                        เธอกลับเก้อหลบหน้าไม่กล้าเผชิญ

เธอนับถือบูชาพระเป็นเจ้า                                สวมชีพเนาสดใสไม่ขัดเขิน

จงมั่นใจในพระเจ้าอย่าละเมิน                         เลิกห่างเหินเมินหมางหวังยังมี

หวนกลับไปไตร่ตรองลองคิดดู                        บอกให้รู้ประจักษ์สักครั้งที่

คนชอบธรรมบำเพ็ญซึ่งความดี                        แต่ชีวีต้องประสบพบเคราะห์กรรม

ผู้คนไถหว่านโรยโปรยความชั่ว                       ปลูกพืชกลั้วชั่วไซร้ไถกลบย่ำ

พระพิโรธโกรธในการกระทำ                          ทรงกระหน่ำเหมือนพายุมุทำลาย

คนชั่วช้าคำรามใหญ่คล้ายสิงโต                       เคยยโสกลับสยบสงบหาย

พระทรงถอดเขี้ยวเขาทิ้งกลิ้งกระจาย              เหมือนสิงห์ร้ายไม่มีสัตว์จะกัดกิน

คนชั่วร้ายวอดวายมลายลง                                 ลูกหลานคงแยกย้ายกระจายสิ้น

ครั้งหนึ่งมีพระดำรัสตรัสพอยิน                       แผ่วรวยรินกระซิบสั่งฟังบางเบา

เหมือนฝันร้ายรบกวนในยามหลับ                   สะดุ้งกลับแสนกลัวตัวสั่นเร่า

สายลมพลิ้วต้องหน้าพาซึมเซา                         ใจรัวเร้าหวาดหวั่นสุดพรั่นพรึง

ฉันแลเห็นสิ่งที่มีอยู่นั่น                                      เกินที่ฉันจะบอกได้มองไม่ถึง

ในความเงียบสงบนั้นฉันคะนึง                       ยินเสียงหนึ่งกังวานก้องร้องกล่าวมา

คนใดบ้างดีพร้อมทุกประเภท                         ในสายเนตรพระเจ้าเฝ้ากังขา

มีใครบ้างบริสุทธิทั่วกายา                                  ต่อพักตราพระผู้สร้างอย่างสมจริง

ทูตสวรรค์ผู้รับใช้ในพระองค์                           ท่านไม่ทรงไว้ใจในทุกสิ่ง

พระองค์พบความผิดคิดประวิง                         ต้องท้วงติงผู้เดินข่าวเหล่าเทวา

ทรงไว้ใจมนุษย์ได้อย่างไรเล่า                           ทรงสร้างเขาจากดินที่สิ้นค่า

เพราะสิ่งที่ถูกสร้างจากดินมา                           ต้องเข่นฆ่าเหมือนมอดไม่รอดเลย

ในยามเช้ามนุษย์นี้มีชีวัน                                   ยามสายัณห์พลบค่ำพร่ำเฉลย

มนุษย์ตายดับสิ้นจากถิ่นเคย                              ไม่เปิดเผยให้เห็นชัดถนัดตา

สิ่งทั้งปวงที่เห็นเป็นของเขา                             ถูกริบเอาไปถ้วนล้วนสร้างหา

เขาวอดวายตายทั้งที่ชีวา                                     ขาดปัญญาขัดสนจนขาดใจ
 

 บทที่ 5 เอลีฟัทต่อว่ายาโคบ (ต่อ)

                โยบเอ๋ยจงร้องเรียกเพรียกซิว่า          มีใครหนาขานรับเสียงสำเนียงใส

ทูตสวรรค์ของพระเจ้านั้นองค์ใด                     เธอหันไปหาเขาได้ให้มองดู

เขลาเหลือเกินที่กังวลร้อนรนจิต                      ขุ่นใจคิดกลัวจะตายไม่ได้อยู่

คนโล่เขลาทำเขื่องท่าเฟื่องฟู                            เขาคงรู้สึกว่าตนนั้นพันภัย

ทันใดนั้นฉันสาปแช่งแหล่งเรือนเนา            บุตรของเขาก็ไม่รอดปลอดภัยได้

ไม่มีใครแก้คดีคลี่ความใน                                  ให้เขาไซร้ในศาลหวั่นอุรา

คนหิวโหยกินพืชผลของคนโง่                        กอหนามโตข้าวขึ้นงามตามกินหนา

คนกระหายน้ำจัดขัดวิญญา                               จะอิจฉาสมบัติเขาเฝ้าขุ่นมัว

ความบาปชั่วมั่วเคล้าความทุกข์ยาก                  ไม่งอกรากจากถิ่นพื้นดินทั่ว

มนุษย์เกิดมาก็ยากลำบากตัว                              ทุกข์พันพัวล้อมเขาเฝ้าติดตาม

แน่นอนเหมือนลูกไฟไปลิบลิ่ว                        ย่อมจะปลิวจากกองไฟให้เกรงขาม

                ฉันเป็นเธอจะหันหา ธ ทุกยาม         เฝ้าติดตามเสนอเล่าเรื่องราวตน

สิ่งสำคัญที่พระองค์ทรงทำไป                          ไม่เข้าใจข้องจิตคิดสับสน

การอัศจรรย์ที่ทรงทำย้ำกมล                              บังเกิดผลไม่สิ้นสุดยุติลง

ประทานฝนรดพื้นดินถิ่นทุ่งนา                       เลี้ยงรักษาคนต้อยต่ำนำสูงส่ง

ช่วยคนเศร้าโสกสลดช่วยปลดปลง                  ช่วยให้คงรอดพ้นทุกคนไป

พระองค์ให้แผนการคนเจ้าเล่ห์                        บิดหันเหพัลวันยุ่งกันใหญ่

คนฉลาดติดกับตนฉับไว                                    ทำสิ่งใดไม่สำเร็จ เสร็จสมปอง

แม้กระทั่งตะวันจ้าในคราเที่ยง                         เขาต้องเสี่ยงคลำมือไปให้หม่นหมอง

ธ ช่วยคนจนยากจากทุกข์ครอง                         ทรงปกป้องปวงชนให้พ้นตาย

และช่วยคนขัดสนพ้นข่มเหง                            คนยำเกรงพระเจ้าจะสมอารมณ์หมาย

ให้คนจนมีหวังอย่างสบาย                                คนชั่วหายเงียบงันกันทุกคน

                บุคคลใดที่พระองค์ทรงแก้ไข           เขาย่อมได้พบสุขสำเร็จผล

อย่าขุ่นเคืองเมื่อพระเจ้าว่ากล่าวตน                 อย่าพร่ำบ่นขึ้งเคียดเกลียดพระองค์

พระเจ้าทรงรักษาบาดแผลให้                           ที่ทรงได้กระทำตามประสงค์

ท่านจะทรงเยี่ยวยาพาคืนคง                              เพราะไท้ทรงทำให้ป่วยท่านช่วยเธอ

พระองค์จะปกปักรักษาไว้                                 ไม่ปล่อยให้เจ็บช้ำซ้ำเสมอ

คราวกันดารอาหารทรงปรนเปรอ                    ท่านให้เธอรอดตายไม่วายวาง

ยามสงครามพระองค์ทรงพิทักษ์                      ธ ทรงรักษาไว้ความตายห่าง

สบประมาทพูดปดคดอำพราง                           ทั้งสองอย่างทรงสอนไว้ไม่ควรทำ

ความหายะนมลายใกล้จะถึง                             ธ ทรงตรึงเอาไว้ไม่กรายกล้ำ

เธอเย้ยหยามความรุนแรงแกล้งชีพช้ำ             หัวเราะซ้ำความหิวโหยอ่อนโรยแรง

ทั้งไม่กลัวสัตว์ร้ายมากรายใกล้                          นาทีไถไม่มีหินกรวดดินแข็ง

ปวงสัตว์ร้ายหลบไปไม่สำแดง                          ไม่กล้าแกร่งกล้ำกรายทำร้ายเธอ

ในกระโจมที่เธอพักจักสุขสันต์                        ดูแกะพลันอยู่ใกล้ปลอดภัยเสมอ

อีกลูกหลานมากมายใฝ่บำเรอ                           ลูกหลานเธอดุจใบหญ้าหน้าเรียงราย

ประดุจข้าวที่สุกงอมพร้อมจะเกี่ยว                   ไม่อยู่เปลี่ยวตราบชราพาสมหมาย

โยบเอ๋ยจงรับฟังคำบรรยาย                               เห็นนานหลายทุกสิ่งถ้วนล้วนเป็นจริง

 

บทที่ 6 โยบตำหนิสหายของตน

โยบ

                ความทุกข์ฉันขึ้นชั่งยังหนัก              กว่าทรายตักจากทะเลลึกใหญ่ยิ่ง

เธอไม่ควรแปลกจิตคิดประวิง                           ฉันท้วงติงกล่าวคำย้ำรุนแรง

พระทรงฤทธิ์ยิงธนูสู่ร่างฉัน                             พิษของมันซ่านทั่วกายให้แสยง

พระเจ้าทรงบันดาลและสำแดง                        เหมือนทรงแกล้งให้ตระหนกตกใจกลัว

ลาได้กินหญ้าอิ่มลิ้มพอใจ                                  วัวเงียบไปได้หญ้าแห้งหลายแปลงทั่ว

อาหารชืดจืดสนิทติดคอตัว                                ไข่ขาวกลั้วไม่อร่อยด้อยรสเลย

อาหารนี้เห็นทีกินไม่ลง                                     ทุกสิ่งคงคลื่นไส้จังดังเฉลย

                ทรงไม่ให้ตามขอเหมือนเช่นเคย      เหตุใดเลยเว้นของที่ต้องการ

ปรารถนาให้พระองค์ประหารฉัน                   ถ้าทราบวันแน่นอนก่อนประหาร

จะเต้นโลดโดดไปให้ชื่นบาน                           ด้วยดวงมานสดใสใจยินดี

ถึงเจ็บปวดเพียงไหนไม่เคยขัด                         ปฏิบัติตามบัญชาอย่างถ้วนถี่

เพราะฉันไม่มีกำลังยังชีวี                                   ไม่อยากมีชีพอยู่เป็นผู้คน

ไม่มีหวังสิ่งใดไร้ความหมาย                             เมื่อความตายมาถึงไซร้ไม่ฉงน

ตัวฉันเป็นหินหรือเปล่าเฝ้ากังวล                     หรือกายตนเป็นทองเหลืองเนื้อเรืองรอง

ฉันไม่มีกำลังเหลือเอื้อตนได้                             ไม่มีใครจะพึ่งพิงยิ่งหม่นหมอง

ยามนี้หวังเพื่อนตายใกล้ชิดปอง                       ไม่ว่าลองทิ้ง ธ ไปหรือไม่ทำ

แต่ว่าเธอซึ่งเป็นมิตรสนิทฉัน                           หลอกลวงกันป่นปี้มายีย่ำ

เหมือนสายธารแห้งหายกายระกำ                    สุดชอกช้ำยามแล้งฝนเหลือทนทาน

ความร้อนแดดแผดเผาราวกลั่นแกล้ง              จนเกรียมแห้งแล้งน้ำตามละหาน

พวกกองเกวียนหาน้ำที่ลำธาร                           ไม่พบพานสายชลจนหลงทาง

เขาเซซัดพเนจรไปจนตาย                                 ทะเลทรายร้อนแรงแห้งไกลห่าง

กองเกวียนจาก เชบา เสาะหาทาง                     ดูเลือนรางทั้ง เทมา ช่วยหากัน

แต่หมดหวังวางวายตายอยู่ใกล้                         ลำธารไร้น้ำแห่งแล้งเกินผัน

เธอเป็นเหมือนห้วงน้ำดังรำพัน                       ชะตาฉันเธอตระหนกตื่นตกใจ

ของกำนัลฉันขอจากเธอหรือ                            เห็นแก่ชื่อหรือจึงติดสินบนให้

หรือช่วยฉันพ้นศัตรูหมู่พาลใด                        หรือกันภัยผู้ปกครองจ้องรังแก

                เธอเอาความผิดฉันนั้นมาเปิด            จงสอนเถิดฉันนิ่งหยั่งฟังกระแส

คำโต้แย้งแจ้งเหตุผลจะดลแด                           ช่วยเกลื่อนแก้ให้รู้สึกสำนึกตน

แต่นี่เธอแสนเลวพูดเหลวไหล                         ถ้าเธอไซร้เห็นฉันพร่ำถ้อยสับสน

เหตุใดจึงโต้ตอบทำชอบกล                               เห็นฉันบ่นเธอพึมพำตามทำไม

ตัวเธอทำแม้กระทั่งทอดลูกเต๋า                         เสี่ยงทายเอาลูกกำพร้ามารับใช้

หาความรวยจากเพื่อนชิดสนิทใจ                     เธอทำได้แม้กับเพื่อนเชือดเฉือนเอา

มองหน้าฉันตามตรงให้เต็มตา                          ไม่มุสาโป้ปดมดเท็จเล่า

เธอว่าฉันมากมายไม่บางเบา                              เลิกว่าเราเสียทียุติกัน

ฉันเป็นฝ่ายถูกแน่แท้เสมอ                                แล้วไยเธอว่าฉันปดลดเลี้ยวนั่น

เธอคงคิดว่าฉันไม่รู้เทียมทัน                             สิ่งใดนั้นถูกผิดคิดไม่เป็น

 

บทที่ โยบพูดทักท้วงพระเจ้า

                ชีพมนุษย์เปรียบดังกำลังทัพ             ต้องเคี่ยวขับงานลำบากยากหลีกเร้น

เหมือนทาสหวังพักใต้ไม้ร่มเย็น                       คนงานเป็นเช่นกันหนอรอค่าแรง

หลายเดือนผ่านพ้นพลันฉันทำงาน                 ไร้แก่นสารสิ้นประโยชน์หมดทุกแห่ง

คืนผ่านมาพาหมองเศร้าร้าวระแวง                  ความโศกแฝงมาสู่ฉันคอยบั่นทอน

ฉันลงนอนซบหน้าเวลาผ่าน                            ใจสะท้านกระสับกระส่ายให้สังหรณ์

ตลอดคืนวุ่นวายไม่หลับนอน                            จิตร้าวรอนอยากให้เข้าเฝ้ารอคอย

ร่างกายฉันมีหนอนไชชอนทั่ว                         ตามเนื้อคัวหนองไหลไม่เสื่อมถอย

วันผ่านไปไร้หวังนั่งตาปรอย                            เร็วกว่ารอยกระสวยพุ่งมุ่งหน้าทอ

                โอ้พระเจ้าชีพข้าเป็นเพียงเช่นลม    ความสุขสมสิ้นสุดหยุดแล้วหนอ

พระทรงเห็นอยู่บัดนี้ยังรีรอ                              แต่แล้วพอดูอีกทีลี้สูญไป

เหมือนเมฆลอยคล้อยเคลื่อนแล้วเลือนหาย     มนุษย์ตายไม่กลับฟื้นคืนมาใหม่

คนรู้จักใกล้ชิดสนิทใจ                                       เขากลับไม่ทักฉันพากันเลือน

ไม่ละนะฉันจะไม่นิ่งเฉย                                   ขอเฉลยเพราะชื่นชมตรมใดเหมือน

ไฉนทรงกักข้าช้าแชเชือน                                 เป็นสัตว์เถื่อนทะเลร้ายหรือไรกัน

ข้าลงนอนพักกายาหาผู้ช่วย                              พ้นเจ็บป่วยปวดคลายหายเสียขวัญ

แต่ทรงทำให้ข้าผวาครัน                                    หวาดกลัวฝันกลางดึกระทึกทรวง

พระองค์ทรงข่มขวัญให้ฝันร้าย                        มาหลอกกายหลอกจิตคิดหนักหน่วง

ข้าอยากผูกคอตายหายสิ้นปวง                          ดีกว่าถ่วงอยู่อย่างนี้ชีวีตรม

ข้ายอมแพ้เพราะแสนเบื่อเมื่ออยู่ไป                 ปล่อยข้าไว้ตามลำพังยังดีถม

ชีวิตข้าสูญสลายไร้ชื่นชม                                  ทุกข์ระทมสิ้นหวังพังทลาย

                พระเป็นเจ้าเพราะอะไรได้ทรงเห็น   มนุษย์เด่นสำคัญทางมั่นหมาย

เหตุใดจึงสนพระทัยไม่เว้นวาย                        กิจทั้งหลายที่เขาทำประจำมา

พระองค์ทรงตรวนตราเวลาเช้า                        ลองใจเขาทุกนาทีที่เห็นหน้า

โปรดหันไปอย่าประสบพบกับตา                    ว่าตัวข้ากลืนน้ำลายที่คายลง

ถ้าข้าทำบาปชั่วมัวหมองหม่น                           ทรงไม่สนพระทัยความใหลหลง

ท่านผู้คุมนักโทษแจ้งความจำนง                      ไฉนทรงให้เป็นเป้าเฝ้าซ้อมยิง

เพราะเหตุใดทรงไม่โปรดยกโทษเลย             จะเพิกเฉยเมินบ้างหรือนั่งนิ่ง

ไม่รับรู้ความผิดอย่างแท้จริง                              ในทุกสิ่งไม่สนใจได้ก็ดี

ในไม่ช้าร่างกายมลายสิ้น                                   กลับเป็นดินเดิมซ้ำไปตามที่

ข้าล้มหายตายจากพรากชีวี                                 ในครานี้พระเจ้าคงจ้องหาดู
 

 บทที่ 8 บิลดัคยืนยันความยุติธรรมของพระเจ้า

บิลดัด

                จบถ้อยคำพล่ามพูดหยุดแล้วหรือ     ธ ทรงถือยุติธรรมล้ำเลิศอยู่

ไม่บิดเบือนเที่ยงธรรมซ้ำเชิดชู                         ทรงเป็นผู้ทำถูกไซร้ผิดไม่เคย

                ลูกหลานท่านอาจทะนงหลงทำบาป   ที่หยาบหยามต่อผู้สร้างอย่างเปิดเผย

พระเจ้าทรงลงโทษไม่โปรดเลย                       ทรงเปรียบเปรยโทษตามความสมควร

จงหันมาอ้อนวอนขอต่อพระองค์                    พระผู้ทรงฤทธานุภาพปราบปรามถ้วน

ถ้าพิสุทธิ์ซื่อสัตย์สะอาดมวล                             เสด็จด่วนมาช่วยด้วยยินดี

จะทรงคืนครอบครัวเป็นเช่นรางวัล                ทรัพย์ทั้งนั้นที่สูญสิ้นจากถิ่นที่

จะเปรียบเทียบเทียมได้นั้นไม่มี                         กับสิ่งที่ทรงสรรประทานมา

                พินิจดูสติและปัญญาเรา                     เมื่อกาลเก่าสมัยก่อนย้อนมองหา

ดูความจริงที่ย่าปู่คู่ยายตา                                    เรียนรู้มาแจ้งชี้ดีกว่าใคร

ชีวิตเราสั้นไปใดไม่รู้                                          เราเป็นอยู่เพียงเงาผ่านสะท้านไหว

ยอมให้ปราชญ์สมัยก่อนสอนเจนใจ               ฟังถ้อยไว้ที่เขากล่าวเล่ากันมา

                ต้นกกงอกขึ้นอย่างไรไม่มีน้ำ            มันขึ้นต่ำตามหนองบึงผึ่งลมกล้า

ถ้าน้ำแห้งแล้งโหยเหี่ยวรายรา                          ตัดเอามาใช้ไม่เหมาะเพราะเล็กไป

ผู้ไม่มีพระเจ้าเป็นเช่นต้นกก                             ที่ขึ้นดกเหล่านั้นเปรียบกันได้

เมื่อพระองค์ทรงห่างเหินเมินละไกล              ที่หวังไว้กลายสิ้นต้องภินท์พัง

เขาไว้ใจเส้นด้ายคล้ายใยแมงมุม                       ถ้าเกาะกุมยึดไว้คงไร้หวัง

เส้นด้ายอันเล็กน้อยด้อยพลัง                            ช่วยยืนยั้งพยุงได้อย่างไรกัน

                คนชั่วนั้นมากมายคล้ายหญ้ารก        ที่แผ่ปกคลุมถ้วนทั่วสวนขวัญ

รากซอนไชไปยึดก้อนหินพลัน                        พอดึงมันขึ้นมาเล่นไม่เห็นรอย

ความยินดีคนชั่วเป็นเช่นนั้นหนา                    มีคนมาแทนที่อีกเขาหลีกถอย

ธ ไม่ทิ้งคนซื้อไว้ให้เลื่อนลอย                          ท่านไม่คอยช่วยคนชั่วกลั้วอบาย

ธ จะปล่อยเธอให้ได้หัวเราะ                             เสียงเสนาะโห่ร้องก้องขยาย

ผู้เกลียดชังขุ่นข้องต้องอับอาย                          คนชั่วร้ายบ้านวอดวายทลายพัง

 

 บทที่ 9 โยบไม่สามารถที่จะทูลตอบพระเจ้าได้

โยบ

                ใช่สินะฉันเคยชินยินมาก่อน            มนุษย์ห่อนชนะ ธ ทรงผิดหวัง

โต้เถียงพระเจ้าได้หรือดื้อจริงจัง                      ธ ทรงตั้งคำถามถ้อยร้อยพันคำ

ไม่มีใครตอบได้ในข้อถาม                                 ธ ทรงความปรีชาสามารถล้ำ

ทรงอำนาจยิ่งอยู่เป็นผู้นำ                                   เกินใครก้ำกรายคู่ต่อสู้องค์

ธ ทรงเคลื่อนภูเขาไปไม่เตือนย้ำ                      ทำลายซ้ำด้วยความโกรธพิโรธส่ง

ธ ทรงให้แผ่นดินไหวดังใจจง                          พิภพทรงโยกแกนสั่นสะท้ายแรง

พระเจ้าไม่ให้ดวงอาทิตย์ขึ้น                             ตอนกลางคืนดาวไสวไม่ส่องแสง

หามีใครช่วยกางฟ้ามาสำแดง                           หรือลองแกล้งเหยียบสัตว์ร้ายในทะเล

ทรงให้ดาวพราวพร่างกลางม่านฟ้า                 หมู่ดารามีดาวไถไม่หันเห

ดาวกระบวยลูกไก่ดาวพราวจำเจ                      ดาวร่อนเร่ทิศใต้ให้ประจำ

เราไม่อาจเข้าใจสิ่งใหญ่ยิ่ง                                ยากแท้จริงทรงกอปรใดเกินใครก้ำ

รวมทั้งการอัศจรรย์ท่านทรงทำ                         แสนเลิศล้ำไม่มีจบครบสิ้นลง

                ธ เสด็จผ่านไปเราไม่เห็น                   ทรงไม่เว้นเอาสิ่งของต้องประสงค์

ไม่มีใครห้ามพระเจ้าได้ดังจำนง                       ใครถามองค์พระเจ้าซ้ำทรงทำใด

พระพิโรธพระเจ้านั้นแสนมั่นคง                    เพราะพระองค์จับศัตรูหมู่พาลได้

ซึ่งช่วยเหลือ ราหับ ลับหลีกภัย                         คือสัตว์ในทะเลร้ายหมายขวางองค์

หาคำโต้ตอบพระองค์ได้อย่างไรกัน                แม้ว่าฉันไม่ผิดพระประสงค์

ขอพระผู้พิพากษาอันเที่ยงตรง                         ได้โปรดทรงเมตตาและปรานี

แม้พระเจ้ายอมให้เผยวาจา                                ก็เชื่อว่าพระเจ้าฟังถ้อยคำนี่

ทรงใช้พายุกระหน่ำซ้ำชีวี                                 ร้าวฤดีช้ำชอกยอกดวงมาน

เมื่อพระองค์ทรงไร้ในสาเหตุ                           เกิดอาเพศใดทำซ้ำหักหาญ

ธ ไม่ยอมให้หายใจออกได้นาน                        ทรมานให้ตรมขมวิญญา

ฉันจะใช้กำลังมวลควรหรือเล่า                        กับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในโลกหล้า

ควรเอา ธ ขึ้นศาลสถิตพิจารณา                         ใครจะกล้าอาจหาญพาท่านไป

ฉันซื่อสัตย์บริสุทธิ์ดุจดังว่า                                แต่วาจาฟังแล้วแคล้วผิดไม่

ทุกถ้อยคำย้ำกว่าพาเศร้าใจ                                ปรักปรำให้ร้อนรนแก่ตนพลัน

ฉันพิสุทธิ์และไม่หวั่นพรั่นใดเหลือ                ฉันแสนเบื่อมีชีวิตสถิตมั่น

ผิดหรือไม่ผิดไซร้ไม่สำคัญ                                ที่แท้นั้นพระเจ้าคงทรงทำลาย

เมื่อคนที่พิสุทธิ์ถ้วนด่วนตายลง                        พระเจ้าทรงพระสรวลอยู่มิรู้หาย

ให้โลกอยู่ในมือชั่วกลั้วอบาย                            ทรงมั่นหมายผู้พิพากษาตามัวมน

ถ้าพระองค์ไม่ทรงเป็นผู้ทำ                               แล้วใครซ้ำทำเล่าเฝ้าฉงน

วันฉันแข่งกันล่วงไปให้กังวล                          ไม่ได้ยลวันดีนักสักวันเดียว

ชีวิตฉันผันผายดูคล้ายเรือ                                  ในยามเมื่อน้ำแรงจัดพัดไหลเชี่ยว

เร็วเหมือนนกอินทรีที่ปราดเปรียว                   ถลาเลี้ยววกใส่กระต่ายกลัว

ถ้าฉันยิ้มพยายามลืมความปวด                          ทุกข์ร้าวรวดเร็วถลามาหลอกยั่ว

ฉันรู้ว่าทรงปักใจที่ในตัว                                   ว่าฉันชั่วบาปผิดคอยติดตาม

พระองค์ทรงปรักปรำฉันทำผิด                        จะมัวคิดร้อนใจไม่เกรงขาม

มีสบู่อย่างใดจะพยายาม                                     ล้างบาปทรามหมดสิ้นจากถิ่นใจ

พระองค์โยนฉันส่งลงสู่เหว                             ที่ลึกเหลวสกปรกโสโครกได้

แม้เสื้อผ้าฉันก็เมินห่างเหินไกล                       อับอายในตัวฉันไม่หันดู

ถ้าพระเจ้าทรงเป็นเช่นมนุษย์                           ฉันจะรุดตอกย้ำถ้อยคำอยู่

เรามอบศาลพิพากษาดั่งตราชู                           ให้เป็นผู้ชี้ขาดพิพาทความ

ไม่มีใครขางหน้ามากางกั้น                                ทั้งตัวฉันและพระองค์เขาไม่หยาม

หามีใครพิพากษากล้าลวนลาม                         ตัดสินความเราได้ไม่เห็นมี

เลิกลงโทษโกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวข้า                   เอาความน่าพรั่นใจไปจากนี่

ข้าไม่กลัวจะกล่าวถ้อยร้อยวจี                            ข้ารู้ดีใจตนนั้นเป็นฉันใด
 

 บทที่ 10 โยบคร่ำครวญถึงสภาพของตนเอง

                ข้าพระองค์เบื่อหน่ายในชีวิต            ไม่อยากคิดอยู่ด้วยซ้ำทำไฉน

ฟังซิว่าข้าตรมขมขื่นใจ                                       สักเท่าใดดวงมานสุดทานทน

อย่าลงโทษโปรดเฉลยเอ่ยวาจา                         คดีข้ามีอะไรให้ฉงน

ทรงทำถูกหรือที่เหี้ยมเกรียมกมล                      ดูหมิ่นจนสิ่งต่าง ๆ ทรงสร้างมา

ทรงยิ้มเยาะโครงการงานคนชั่ว                       หรือเห็นทั่วมนุษย์ทำกรรมในหล้า

ชีวิตองค์ทรงสั้นบั่นวิญญา                                เหมือนชีพข้าหรือไรให้กังวล

ไฉนทรงตามติดบาปผิดข้า                                 ทรงทราบว่าข้าไม่ผิดคิดสับสน

ใครจะช่วยข้าได้ให้รอดตน                               หลบผ่านพ้นทรงไปไกลสุดตา

                พระหัตถ์ทรงปั้นข้าทรงสร้างสรรค์   บัดนี้พลันทำลายกลายเข่นฆ่า

ขอจงทรงระลึกวันปั้นข้ามา                               เหตุใดพล่าบดขยี้เป็นคลีดิน

ธ ประทานพลังยังบิดา                                       ก่อกายาข้ากำเนิดเกิดกายสิ้น

โปรดให้ข้าเจริญวัยสมใจจินต์                          มีชีวินในครรภ์ของมารดร

ธ ทรงให้กระดูกเอ็นเป็นโครงร่าง                   ทรงโปรดสร้างเรือนกายไม่ถ่ายถอน

หุ้มกระดูกด้วยกล้ามเนื้อเอื้ออาทร                    และปิดซ่อนด้วยผิวหนังเป็นอย่างดี

ธ ประทานชีพชื่นรื่นอุรา                                   ทรงรักข้ามั่นคงตรงเหลือที่

เอาพระทัยใส่เลี้ยงเพียงชีวี                                ให้ข้ามีชีพอยู่เป็นผู้คน

ข้ารู้อยู่ตลอดกาลวารเวลา                                   ทรงโปรดข้าวางแผนให้ได้เกิดผล

ทรงเฝ้าดูถ้าทำบาปหยาบเหลือทน                   หลงลืมตนผิดไปไม่อภัย

ข้าทำบาปขุ่นข้องต้องเดือดร้อน                       แต่เมื่อตอนถูกนี้ดีไม่ให้

อีกความชอบไม่เหลือสิ้นเยื่อใย                        ข้าเสียใจโศกเศร้าเฝ้าอับอาย

ถ้าแม้นข้าสิ้นหวังพังย่อยยับ                             ไม่ได้รับความสำเร็จเสร็จสมหมาย

จงตามล่าฆ่าฟันบั่นทำลาย                                 ให้วอดวายเหมือนเมื่อคราล่าสิงโต

ทรงทำการมหัศจรรย์อันเหลือล้ำ                      เพื่อทรงทำให้ข้าป่วยด้วยโทโส

มีพยานปรักปรำซ้ำใหญ่โต                                ทรงกริ้วข้ายิ่งนักหนักขึ้นไป

พระเจ้ามีวิธีใหม่ทำร้ายข้า                                  ไฉนหนาทรงให้เกิดกำเนิดได้

ข้าควรตายดับดิ้นสิ้นหัวใจ                                 ก่อนมีใครเห็นข้าเกิดกำเนิดมา

ออกจากครรภ์มารดรจรหลุมศพ                       ดีเหมือนพบว่าไม่มีชีวีข้า

ยังไม่สิ้นหรือชีวิตอนิจจา                                   โปรดทิ้งข้าห่างไกลไว้ลำพัง

ให้ข้าชื่นกับเวลาที่ยังเหลือ                                เอาไว้เมื่อจากไปไม่คืนหลัง

ไม่ช้าข้าจำจรอย่างจริงจัง                                   จะไปยังภพมืดชืดน่ากลัว

นั่นจะเป็นดินแดนแสนมิดชิด                          มืดสนิทวุ่นวายกันไปทั่ว

แม้แต่แสงสว่างไสวกลายระรัว                         พลอยมืดมัวหมองหม่นเหลือทนจริง
 

 บทที่ 11 โศฟาร์กล่าวโทษโยบเรื่องความบาปผิด

โศฟาร์

                ไม่มีใคร ตอบคำร่ำเหลวไหล             พูดมากไปกลับถูกต้องข้องใจยิ่ง

โยบเอ๋ยเธอคิดว่าเราเฝ้าประวิง                         ตอบทุกสิ่งไม่ได้หรือไรกัน

คำเยาะเย้ยเธอย้ำหาทำให้                                  ตัวเราไซร้หมดถ้อยหรือพลอยหวั่น

เธอว่าเธอพูดจริงทุกสิ่งอัน                                พิสุทธิ์สรรพ์ในสายตาของพระองค์

ฉันอยากให้พระเจ้าเฝ้าตอบเธอ                       ธ เสนอมีหลายอย่างต่างสูงส่ง

ที่นำสู่ปัญญาพลันอันมั่นคง                              สิ่งประสงค์เกินมนุษย์สุดรู้ทัน

พระเจ้าทรงเพิกเฉยละเลยจิต                            ต่อความผิดพลั้งเผลอของเธอนั่น

เธอพบไหมว่าทรงมีฤทธิ์อนันต์                        ใหญ่มหันต์กว้างไกลเขตไม่มี

ท้องฟ้าของทรงธรรมไม่จำกัด                           กว้างถนัดสุดเอ้อมได้ไกลเหลือที่

ทรงรู้จักแดนมรณาคร่าชีวี                                 แต่เธอนี้ไม่รู้อยู่หนใด

ความยิ่งใหญ่ขององค์ไซร้กว้างไพศาล           มโหฬารกว่าโลกาทะเลไหน

ถ้าทรงไต่สวนทั่วคร่าตัวไป                               ไม่มีใครห้ามขวางทางพระองค์

ทรงทราบว่าคนใดที่ไร้ค่า                                  ทอดเนตรมา เห็นเขามัวทำชั่วส่ง

ถ้าลาป่าเกิดเชื่องได้ดังใจจง                              คนโง่คงอวดฉลาดอาจผจญ

                โยเอ๋ยจงทำใจให้เที่ยงตรง                 ทูลพระองค์เข้าไว้ในทุกหน

เอาความผิดชั่วไปไกลบ้านตน                          มั่นกมลกล้าโจมจู่สู้โลกา

ความทุกข์ทนพ้นไกลจากใจจำ                         เหมือนาสายน้ำผ่านไปไม่คืนหา

ชีวิตเธอสุขสว่างพร่างพราวตา                         ใสยิ่งกว่าแดดแรงแห่งเที่ยงวัน

ชั่วโมงที่มืดมัวสิ้นในวิญญา                              เหมือนแสงจ้ายามอรุณอุ่นใจฉัน

เธอจะอยู่อย่างปลอดภัยสดใสครัน                  หวังใจมั่นพระเจ้าป้องคุ้มครองเธอ

เธอไม่ต้องกลัวศัตรูหมู่พาลใด                          หลายคนให้เธอช่วยเหลือเอื้อเสมอ

แต่คนชั่วหาคนช่วยด้วยไม่เจอ                          กลับคอยเก้อหมดหวังสิ้นทั้งมวล

ไม่มีทางหลบลี้หนีรอดได้                                  ไม่พ้นไปได้ตลอดปลอดภัยถ้วน

มีความหวังหนึ่งนั้นอันสมควร                         ความตายด่วนมาถึงแท้จงแน่ใจ
 

 บทที่ 12 โยบยืนยันถึงพระกำลัง และพระสติปัญญาของพระเจ้า

โยบ

                เธอเป็นปากเสียงให้เหล่าชาวประชา   สิ้นชีวาปัญญาดับลับเลือนได้

แต่สติปัญญาฉันนั้นไม่ไกล                               เท่าเธอได้ไม่ต่ำต้อยน้อยกว่าเธอ

ใครก็รู้เรื่องดีที่เธอพร่ำ                                       เพื่อนฉันซ้ำหัวเราะเยาะเสมอ

ทั้งที่ฉันชอบธรรมล้ำเลิศเลอ                             แน่นักเธอฉันซื่อไซร้ไร้มลทิน

แต่ฉันมีเวลาที่พระเจ้าโปรด                              แสนปราโมทย์ที่ขอไว้ได้ทั้งสิ้น

เธอไม่เดือดร้อนอะไรในชีวิต                           แต่ว่าลิ้นเธอเยาะอย่างไม่บางเบา

เธอข้ามคนล้มคว่ำถลำกาย                                 ขโมยร้ายคนไม่ดีหนีพระเจ้า

กลับอยู่อย่างเงียบสงบสุขเนา                            พระเจ้าเขาคือพลังยังตนเอง

                ความรู้เธอด้อยกว่านกอีกปวงสัตว์  มันฝึกหัดสอนเธอได้ให้ถูกเผง

ถามสัตว์บกถกปัญหาว่าตามเพรง                     ถามกันเองทั้งสัตว์น้ำตามที่มี

สัตว์ทั้งหลายรู้ว่าเป็นฝีพระหัตถ์                      พระเจ้าจัดสร้างสรรค์พวกมันนี่

พระเจ้าทรงบัญชาสัตว์จัดชีวี                            มนุษย์มีลมหายใจให้ ธ ครอง

ลิ้นท่านชอบอาหารสดรสอร่อย                        หูท่านพลอยชอบคำหวานขานสนอง

                คนชราปัญญาไว้ใช้ไตร่ตรอง           พระเจ้าครองปัญญาสติฤทธิไกร

คนชราเข้าใจได้ลึกซึ้ง                                        ทรงเข้าถึงและมีฤทธิ์คิดทำได้

เมื่อพระเจ้ารื้อลงปลดปลงไป                            ใครสร้างใหม่ได้เช่นนี้ไม่มีเลย

ใครกล้าปล่อยคนถูกขังทรงสั่งคุม                    แห้งแล้งรุมยามฝนหยุดสิ้นสุดเฉย

พระเจ้าปล่อยน้ำไหลหลั่งเหมือนดังเคย         น้ำจึงเลยท่วมท้นล้นเนืองนอง

                พระเจ้าทรงเข้มแข็งแกร่งมีชัย          คนโกงไซร้คนถูกโกงโยงทั้งสอง

ทรงทำลายปัญญาผู้อยู่ครอบครอง                    ผู้นำต้องถูกทำลายกลายบ้าไป

ถอดกษัตริย์ออกเป็นเช่นนักโทษ                     ผู้รุ่งโรจน์สมณะถ่อมอ่อนน้อมไหว้

ให้ผู้ที่คนเชื่อยิ่งนิ่งงันไป                                  ปัญญาให้เอาออกพ้นคนแก่ครัน

คนอำนาจเกรียงไกรต้องขายหน้า                    ผู้รักษาเมืองไว้ไร้แข็งขัน

ให้ความมืดความตายฉายแสงพลัน                  ชาติทั้งนั้นเข้มแข็งแกร่งเหลือเกิน

ทรงโปรดให้แพ้พ่ายทำลายลง                          ผู้นำคงโง่เง่าเขลาขัดเขิน

อลหม่านงุนงงหลงทางเดิน                              มืดเหลือเกินเดินเซเร่เหมือนเมา
 

 บทที่ 13 โยบยืนหยัดในความสัตย์ซื่อของตน

                ฉันได้ยินสิ่งต่างต่างทุกอย่างนั้น      เธอกล่าวขวัญแต่ก่อนย้อนมากล่าว

ฉันรู้เท่าเข้าใจในเรื่องราว                                 ไม่ค้อยคราวเทียบกับฉันและเธอ

ฉันโต้เถียงเคี่ยวขับกับพระเจ้า                          ส่วนเธอเล่าใช่ฉันเถียงเสียงเสนอ

ฉันโต้แย้งเรื่องฉันไซร้ใช่เถียงเธอ                  อยากโต้เสมอกับพระเจ้าเท่านั้นจริง

เธอมุสาวาจามากลบเกลื่อน                               เธอซ่อนเงื่อนความไม่รู้ดูสมยิ่ง

หมอรักษาคนไม่หายใคร่ประวิง                       ถ้าเงียบนิ่งว่าฉลาดเปรื่องปราดพลัน

                ฟังฉันพูดเรื่องของฉันพลันออกตัว  เหตุใดมัวพูดปดลดเลี้ยงนั่น

เธอคิดว่าวาจามุสาครัน                                       ทำเช่นนั้นช่วยพระเจ้าได้หรือไรเธอ

เธอมีใจลำเอียงเลี่ยงทุกอย่าง                             เธอเข้าข้างพระเจ้าหรือเฝ้าเสนอ

เธอเป็นฝ่ายพระเจ้าเมื่อครั้งเจอ                        ฉันพลั้งเผลอถูกไต่สวนทบทวนความ

ถ้าพระเจ้าเฝ้ามองเธออย่างชิดใกล้                  เหตุไฉนเห็นว่าดีมีล้นหลาม

เธออย่าคิดหลอกพระเจ้าไม่รู้ความ                   เหมือนในยามหลอกคนอื่นดาษดื่นไป

ทั้งที่เธอซ่อนเงื่อนงำใจลำเอียง                        พระเจ้าเพียงตำหนิติว่าให้

เธอจะต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงใจ                    กลัวเกรงในอำนาจองค์พระทรงธรรม

สุภาษิตข้อโต้แย้งแห่งเธอหนอ                        ช่างอ่อนข้อเฉื่อยชาเมื่อคราพร่ำ

เงียบไว้ให้โอกาสฉันสรรถ้อยคำ                      ผลจะนำส่งไฉนปล่อยไปที

                ฉันพร้อมที่จะลองเสี่ยงเพียงชีวิต     เศร้าดวงจิตสิ้นหวังทั้งมวลนี่

ถ้าพระเจ้าจะประหารฉันยินดี                          แจ้งวจีเรื่องฉันหนอต่อพระองค์

อาจเป็นได้ว่าฉันปลอดรอดชีวัน                      เพราะฝ่าฟันด้วยความกล้าพาเสริมส่ง

คนชั่วร้ายหายไปไม่ยืนยง                                  ไม่ประสงค์เผชิญหน้าพระเจ้าเลย

จงฟังฉันอธิบายใคร่สำแดง                               พร้อมจะแจ้งเรื่องฉันไซร้ไม่นิ่งเฉย

ฉันรู้ว่าทำถูกแน่แท้ดังเคย                                  ไม่ผิดเลยสมคำพร่ำพรรณนา

                พระเจ้าข้าทรงเสด็จลงมาฟ้อง          ธ ทรงร้องบอกซ้ำย้ำกล่าวหา

ถ้าเช่นนั้นฉันพร้อมสรรพมั่นวิญญา               เตรียมรอท่าเงียบสงบพบความตาย

สองประการข้อความถามได้ไหม                     ฉันจะไม่ต้องหลบซบซ่อนหาย

เลิกเซ้าซี้ทีเถิดหนอขอเว้นวาย                          อย่ามั่นหมายมุ่งทำย้ำให้กลัว

                พระเจ้าข้ารับสั่งให้ฟังก่อน               ถ้อยสุนทรจะกราบทูลองค์ถ้วนทั่ว

หรือจะปล่อยให้ทูลให้ในเรื่องตัว                    พระเจ้าจะตรัสตอบข้าหรือว่าไร

ข้าพระองค์ผิดมากมายเท่าใดเล่า                      ข้าพเจ้าต้องมีคดีไฉน

ฤาพระองค์ทรงหลีกลี้หนีข้าไป                        เพราะเหตุใดทำข้าเป็นเช่นศัตรู

หรือพระเจ้าทำให้ไหวหวั่นกลัว                      ข้ารู้ตัวไร้ค่าหาควรคู่

เหมือนใบไม้ใบหญ้าไม่น่าดู                             ทรงโจมจู่หญ้าแห้งแล้งใบนั้น

                ธ ทรงปรักปรำข้าน่าขมขื่น                รวมบาปอื่นเมื่อเป็นเด็กเล็กเกินฝัน

ทรงเอาโซ่ล่ามขาข้าโดยพลัน                            พระทรงธรรม์เฝ้าดูคราวย่างก้าวไกล

ทั้งสำรวจรอยเท้าตัวเรานี้                                   กลายเป็นที่น่าเกรงเพ่งเล็งได้

ข้าร่วงหลุดดุจไม้เน่าผุเก่าไป                             เหมือนมอดไขกัดผ้าพาภินท์พัง
 

บทที่ 14 โยบคร่ำครวญเรื่องชีวิตสั้น

                คนทั้งปวงอยู่ได้ไม่นานมาก              ทุกข์ลำบากยากไร้ให้สิ้นหวัง

เหมือนดอกไม้เติบใหญ่ไม่จีรัง                         เหี่ยวแห้งกรังหายลับเหมือนกับเงา

ทอดพระเนตรแลมาดูข้าพลัน                           มิฉะนั้นพิพากษาข้าเร็วเข้า

ไม่มีของสะอาดใดได้หยิบเอา                           มาจากเถ้าสกปรกรกรุงรัง

เหมือนมนุษย์พระกำหนดกฎเกณฑ์เอา          อายุเขากี่เดือนปีที่ทรงสั่ง

ให้อยู่นานเพียงไรตั้งใจฟัง                               ใครมายั้งให้เปลี่ยนไปไม่ได้เลย

เมินพระพักตร์จากเขาไซร้ไปเสียที                  ปล่อยเขานี้ตามสบายไม่อยู่เฉย

ให้เขาทำงานหนักไม่พักเงย                             ถ้าเขาเคยทำได้ให้ลองทำ

                ต้นไม้ที่โค่นลงปลงร้าวแยก              ก็ยังแตกใบอ่อนอีกซ้อนซ้ำ

แม้รากเก่าร้าวแห้งแล้งตอดำ                             น้ำรินร่ำรดแทรกแตกต้นมา

แต่คนตายวายวางต่างจบสิ้น                              ครวญถวิลเพียงใดไม่คืนหนา

สำหรับเขาจบเท่านี้ซึ่งชีวา                                 เขาหายหน้าจากไปอยู่ไหนกัน

                อาจจะมีเวลาใดเวลาหนึ่ง                   แม่น้ำจึงหยุดไหลไม่เหหัน

น้ำทะเลแห้งหายสลายครัน                               คนตายนั้นไม่ฟื้นกลับคืนมา

เขาไม่มีวันตื่นฟื้นชีวี                                           ขณะที่ฟ้าดำรงคงเจิดจ้า

เขาจะไม่ยอมตื่นฟื้นนิทรา                                 หมดเวลาเลยลับหลับเรื่อยไป

                ข้าพระองค์ปรารถนาซ่อนข้านี้         ไว้ในที่แดนกันดารอันต่ำใต้

ซ่อนจนทรงกริ้วคลายหายขุ่นใจ                      ระลึกได้ถึงข้าขึ้นมาพลัน

มนุษย์ตายหายลับชีพดับสิ้น                              ดวงชีวิตไม่กลับฟื้นขึ้นเหมือนฝัน

ข้าคอยหาโอกาสดีที่สำคัญ                                 จนกว่าวันทุกข์ยากจากผ่านไป

ทรงตรัสเรียกเพรียกผ่านข้าขานรับ                  คอยสดับสุรเสียงสำเนียงใส

ข้ารู้ว่าพระองค์ทรงพอใจ                                  เพราะพระเจ้าประทานร่างสร้างข้ามา

พระองค์เฝ้าดูไม่ห่างทุกย่างก้าว                       บาปรวดร้าวไม่ทรงจำบาปกรรมข้า

ทรงผลักบาปข้าไปไม่นำพา                               ผิดชั่วช้าทรงล้างหมดลดเลิกไป

                ถึงเวลาภูเขาจมถล่มลง                        หินผาคงถูกเคลื่อนให้เลือนไหล

น้ำอาจเซาะหินกร่อนเฝ้าชอนไช                     ฝนตกใหญ่ชะดินพังหลั่งเป็นทิว

แต่ละทิ้งมนุษย์ไว้ให้สิ้นหวัง                            ทรงพลังอำนาจเหลือเหนือคนลิ่ว

ทรงขับไล่ไปพ้นจนชีพปลิว                              ขมวดคิ้วนิ่วหน้าคราสิ้นลม

บุตรรับเกียรติเขาไม่เคยได้รู้                               ใครเป็นผู้บอกเขาเล่าเหมาะสม

เมื่อลูกอายขายหน้าพาระทม                             เขาระบมเจ็บปวดร่างพลางทุกข์ใจ

 

บทที่ 15 เอลีฟัสว่ากล่าวโยบ

บทสนทนาภาค 2   เอลีฟัส

                พูดเหลวไหลนะโยบเธอเละเทอะยิ่ง               ปราชญ์ย่อมนิ่งไม่เหมือนเธอเพ้อไฉน

กล่าววาจาไร้สาระนี่กระไร                               เธอทำให้คนหมดเกรงยำเยงองค์

เธอทำให้ใครเลิกละทูลพระเจ้า                        เธอพร่ำกล่าวด้วยรู้ผิดคิดเสริมส่ง

ฉลาดคำอำพรางอย่างใจจง                                ไม่ประสงค์หาญหักปรักปรำเธอ

ทุกถ้อยคำย้ำเข้าตัวทั่วทั้งนั้น                             เธอคิดมั่นเกิดคนแรกแทรกเสนอ

ครั้งพระเจ้าสร้างภูเขาสูงเลิศเลอ                     แล้วตัวเธอถือกำเนิดเกิดหรือยัง

เคยยินไหมถ้อยคำพระดำริ                                ทั้งสติปัญญามนุษย์พิสุทธิ์หวัง

เป็นของเธอผู้เดียวไหมใครรู้จัง                        ทุกสิ่งดังเธอทราบนั้นฉันรู้ดี

เราเรียนรู้จากผู้เฒ่าผมขาวล่อน                         ซึ่งเกิดก่อนพ่อเธอนานชั่วกาลที่

พระประทานความสบายให้มากมี                    ไยอวดดีเมินเฉยละเลยองค์

เราพูดแทนพระเจ้าด้วยใจเย็น                          กลับขู่เข็ญเกรี้ยวกราดตวาดส่ง

เธอโมโหโกรธาว่าเจาะจง                                 ประณามองค์พระเป็นเจ้ากล่าวล่วงเกิน

                มนุษย์ใดบริสุทธิ์ผุดผ่องจริง              ใครดียิ่งพระเจ้าเห็นในสิ่งสรรพ์

เหตุใดเล่าพระเจ้าไม่ไว้ใจครัน                         แม้ถึงขั้นเทวทูตพิสุทธิ์ล้น

ในสายเนตรพรไซร้ไม่พิสุทธิ์                           ปวงมนุษย์ดื่มด่ำความชั่วฉล

เหมือนจมน้ำสกนึกลึกท่วมท้น                         คนเมามนเสื่อมทรามยิ่งน่าชิงชัง

                โยเอ๋ย ฉันจะเล่ากล่าวบางสิ่ง            ที่รู้จริงให้ฟังไว้ไม่หยุดยั้ง

ปราชญ์สอนให้รู้สัจจาหาปิดบัง                       รู้จริงจังจากปู่ย่าและตายาย

เขาไม่ซ่อนความลับระงับป้อง                          ประเทศของพวกเขาเหล่าทั้งหลาย

ไม่มีชนต่างชาติเข้าเฝ้าวุ่นวาย                           ใครไม่หมายนำเขาพรากจากพระองค์

                คนชั่วช้ากดขี่ย่ำยีเขา                           จะต้องเศร้าเดือดร้อนกายไม่ประสงค์

ตราบเท่าที่ชีพนี้ยังยืนยง                                    จิตดำรงคงอยู่คู่ร้าวราน

เสียงหวีดร้องก้องทั่วกลั้วตระหนก                  หวาดวิตกก้องภูเขาแผดเผาผลาญ

เขาถูกโจรปล้อนสะดมข่มเหงมาน                   มัดจัดการยามคิดว่าน่าปลอดภัย

เขาหมดหวังหลุดพ้นผ่านวารมืดมัว                มีคนชั่วถือดาบซุ่มรุมฟันให้

แร้งคอยจิกฉีกร่างขว้างแหลกไป                      รู้ชัดในอนาคตมืดหมดมัว

หายะกำลังโถมจู่โจมมา                                      เหมือนราชายกทัพรบปราบทั่ว

ชะตาผู้ต่อสู้ ธ หาพ้นตัว                                     ท้าทายยั่วหมิ่นพระเจ้าเช่นนี้นา

ชายนั้นเป็นกบฏจริงหยิ่งยโส                           เขาหยิบโล่เหมือนทหารชำนาญกล้า

กรากเข้าสู้รบพระผู้ทรงฤทธา                           คนนั้นหนาเข้ายึดเมืองรุ่งเรืองไป

แล้วริบเอาบ้านช่องเจ้าของหนี                         สงครามนี้ทำลายล้างอย่างยิ่งใหญ่

เผาผลาญเมืองเหล่านั้นให้บรรลัย                    บ้านเรือนไหม้พินาศจมล้มทลาย

เขาจะไม่ร่ำรวยไปได้นานนัก                            ข้าวของจักเตียนราบสาบสูญหาย

แม้แต่เงาเขาก็วิ่นหมดสิ้นไป                             ตัวไม่ผ่านพ้นมืดมนเลย

เขาจะเป็นเหมือนเช่นกับต้นไม้                        ที่กิ่งใบไฟเผาเถ้าระเหย

ยามลมจัดซัดซ้ำพร่ำรำเพย                                 พัดดอกเลยร่วงพรูลงสู่ดิน

ถ้าเขาโง่วางใจในความชั่ว                                 ต้องทนกลั้วสามานย์ไซร้ไม่จบสิ้น

ก่อนเขาหมดอายุขัยวายชีวิน                             จะเหี่ยววิ่นเหมือนกิ่งไม้ไม่กลับคืน

เขาเป็นเช่นองุ่นเถาคราวได้ยล                         ผลร่วงหล่นก่อนสุกซ้ำต้องจำฝืน

เหมือนมะกอกไม่ออกผลทนกล้ำกลืน             ต้องขนขื่นยืนต้นไว้ใบซบเซา

ผู้ไม่มีพระเจ้าไซร้ไร้ลูกหลาน                           ที่สร้างบ้านจากสินบนไฟลนเผา

พวกนี้วางแผนร้ายไม่บรรเทา                           จิตใจเขากลับกลอกคอยหลอกลวง

 

บทที่ 16 โยบร้องทุกข์ถึงการกระทำของพระเจ้า

โยบ

                เคยยินคำย้ำกล่าวนั้นมาก่อน             ถ้อยสุนทรวอนปลอบมอบใจห่วง

กลับยิ่งทุกข์ทรมานร้าวรานทราวง                   พูดสิ่งปวงตลอดกาลหรือฉันใด

เฮะไม่ยอมแพ้พ่ายหรือไรนั่น                           เธอเป็นฉันฉันเป็นเธอเสมอใกล้

ฉันก็พูดอย่างเธอพร่ำตามกันไป                       เหมือนน้ำไหลไฟดับพูดฉับไว

ทำทีท่าว่าฉลาดปราดเปรื่องซ้ำ                          จะแนะนำพร่ำสอนวอนว่าให้

เพิ่มแรงจิตเข้มขลังพลังใจ                                 ปลอบจิตให้ใสสดหมดหมองมัว

ช่วยเธอไม่ได้เลยหนาววาจาฉัน                       การนิ่งอั้นหาทำให้คลายปวดทั่ว

ทรงให้ข้าเบื่อหน่ายในชีพตัว                           พระองค์มัวจับข้ามั่นหมายบั่นทอน

พระองค์ทรงเป็นศัตรูจู่ประดัง                          ข้าเหลือหนังหุ้มกระดูกถูกแล้วกร่อน

คนทั้งปวงพิสูจน์ซ้ำทำตัดรอน                         เขาขาดค่อนถือว่าข้าผิดจริง

                พระเจ้าทรงจับข้าฉีกแขนขา             ด้วยโกรธาขึ้งเครียดรังเกียจยิ่ง

คนทั้งนั้นหยันเย้ยเปรยชังชิง                           ห้อมล้อมพิงดูข้าตบหน้าพลัน

พระเจ้าทรงส่งข้าไซร้ให้คนชั่ว                        ข้าทำตัวอย่างสงบสยบพรั่น

แต่องค์ทรงกระชากคอขอฆ่าฟัน                     ทรงหุนหันบดขยี้ข้าบี้แบน

พระเจ้าทรงใช้ข้าเป็นเช่นเป้าฝึก                     ใจระทึกโดนธนูโจมจู่แล่น

ยิงกระหน่ำรุกรานทุกด้านแดน                        ทรงโกรธแค้นเพียงไรไม่เมตตา

ทรงให้ข้าบาดเจ็บเหน็บกมล                             ต้องทุกข์ทนเสมอไปไล่ผลาญข้า

ทรงทำร้ายเพราะชังเหลือเบื่อระอา                 ทหารบ้าเลือดคล้ายละม้ายกัน

                 ข้าเศร้าโศกสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ      ยอมแพ้ราบนั่งถอนใจในฝุ่นนั้น

ข้าร้องไห้หน้าช้ำแดงก่ำครัน                            ขอบตาพลันเบ่งบวมท่วมน้ำตา

ข้าหาทำอะไรให้รุนแรง                                    พร่ำชี้แจงวอนพระเจ้าจริงใจข้า

                โลกเอ๋ยอย่าซ่อนซ้ำทำมารยา             ผิดพลาดข้าอย่าปิดสนิทบัง

อย่าปล่อยให้เสียงเรียกเพรียกพร้องมา            กู่ก้องหายุติธรรมนำสมหวัง

ต้องเงียบหายสลายไปไม่จีรัง                            เสียงร้องสั่งหาซื่อตรงคงมลาย

ยังมีท่านผู้หนึ่งไซร้ในสวรรค์                           เข้าข้างพลันยืนหยัดภู่มิรู้หน่าย

อยากให้ทรงเห็นน้ำตาพร่าพราวพราย           และมั่นหมายให้ยินคำพร่ำทูลมา

ข้าอยากให้มีคนกล่าเฝ้าอ่อนวอน                     เอ่ยสุนทรขอทรงป้องคุ้มครองข้า

เหมือนผู้ที่ขอร้องพร้องวาจา                             ขอเมตตาปวงมิตรสนิทตน

ปีเดือนวันของข้ามาผันผ่าน                              ล่วงไปนานแล้วไซร้ในแห่งหน

ทางที่ข้าเดินไปไกลเหลือทน                            ลับเลยพ้นผ่านไปไม่กลับคืน

 

บทที่ 17 โยบร้องทุกข์ถึงการกระทำของพระเจ้า (ต่อ)

                ข้าเป็นไม้ใกล้ฝั่งประทังไป               ยามหายใจลำบากยากสุดฝืน

มีแต่หลุมศพนี้ที่ยั่งยืน                                         ไม่มีอื่นเหลือหลุมฝังไว้อย่างเดียว

ข้าเฝ้าดูผู้เยาะเย้ยเปรียบเปรยข้า                        ช้ำอุราระทมตรมโดดเดี่ยว

ข้าซื่อสัตย์มั่นคงตรงจริงเจียว                            โปรดแลเหลียวรับฟังคำพร่ำวาจา

ไม่มีใครยืนยันเมื่อสรรถ้อย                                หาใครคอยรับรองให้ไม่เห็นหน้า

ทรงให้เขาไร้เหตุผลดลอุรา                               โปรดอย่าพาเขามาซ้ำเย้ยย่ำเอา

สุภาษิตก่อนเก่าเขาว่าไว้                                     แม้ผู้ใดโกงเพื่อนเกินเพราะเงินเขา

ทั้งลูกหลานระทมตรมไม่เบา                            เคราะห์กรรมเฝ้าตามล่ามาผจญ

สุภาษิตคิดมาใช้ให้กับข้า                                   ใครยินว่าถ่มน้ำลายหมายหน้าหม่น

ความทุกข์เศร้าเร้าให้ข้าตามืดมน                      ผอมเหลือทนแขนลีบขาล้าเหมือนเงา

ใครอ้างตนว่าเป็นคนซื่อสัตย์แท้                      ต้องนิ่งแน่ตะลึงงันพลันแสนเศร้า

ทุกคนลงโทษข้าต่างว่าเอา                                เหมือนไม่นับถือพระเจ้าเฝ้าบูชา

ใครอ้างตนว่าเป็นคนน่านับถือ                         ต่างดึงดื้อตนถูกแท้แน่นักหนา

ชนเหล่านั้นสรรมายืนต่อหน้าตา                     จะพบว่าคนฉลาดปราชญ์ไม่มี

                ชีวิตข้าล่วงไปไกลลิบลับ                    แผนการกลับล้มพังหวัดป่นปี้

เพื่อนว่าคืนกลายเป็นรุ่งรุ้งรวี                            เขาเห็นมีแสงใสใกล้อรุณ

แต่ข้าคงยงอยู่ในความมืดมน                             หวังเพียงหนเดียวของข้าพาหัวหมุน

แดนมรณาที่ข้าล้มก้มเซซุน                                ข้าว้าวุ่นนอนหลับตามความมืดมัว

ข้าจะว่าหลุมศพเป็นเช่นพ่อไซร้                      หนอนชอนไชเป็นพี่แม่และน้องทั่ว

ความหวังข้าอยู่ไหนใครเห็นตัว                       เมืองผีชั่วข้าอยู่ยังหวังไม่ไป

 

บทที่ 18 บิลดัดบรรยายถึงผลกรรมของคนชั่วร้าย

บิลดัด

                เออนี่โยบคนอย่างเธอเพ้อเจ้อมาก   สงบปากเงียบวจีทีได้ไหม

จะหยุดยั้งฟังสักนิดหนึ่งเป็นไร                       สองเราได้เจรจาพาทีกัน

เพราะเหตุใดไยคิดเอาว่าเราโง่                         เสมือนโคควายเปลี่ยวเจียวหรือนั่น

ความโมโหโกรธาพาดุดัน                                  ให้เธอนั้นทำตัวเจ็บเหน็บตนเอง

เพราะเธอหรือพื้นดินร้างพืชว่างเปล่า            เธอหรือเล่าภูเขาเคลื่อนเลื่อนตรงเผง

ทรงดับแสงคนชั่วไซร้ไปตามเพรง                  เปลวไฟเกรงไม่ลุกไล่ไหม้ลามเลีย

ตะเกียงจุดในกระโจมคนโทรมชั่ว                   จะมืดมัวสลัวรางพรางแสงเสีย

ย่างก้าวเคยยืนยงคงสุดเพลีย                             ขาอ่อนเปลี้ยสะดุดล้มลงซมซาน

เหยื่อคำแนะนำเขาคือเราเอง                            เขาเดินเร่งติดข่ายดักที่ถักสาน

กับยึดเท้าแน่นจังแร้วรังควาน                           ยามเดินผ่านกับวางทางที่ไป

ความหวาดหวั่นสิงสู่อยู่รอบตัว                         ติดตามทั่วทุกย่างเท้าก้าวชิดใกล้

เคยร่ำรวยมากจริงยิ่งกว่าใคร                             บัดนี้ไซร้ต้องหิวโหยอ่อนโรยแรง

หายนะอยู่ทุกด้านพล่านคอยดัก                       โรคร้ายจักแผ่ลามตัวทั่วเหมือนแกล้ง

แขนขาพัง ยังถูกลากกระชากแซง                   ออกจากแหล่งอาศัยปลอดภัยพาล

ไปเผชิญหน้าดุมัจจุราช                                      กระโจมอาจรับใครอยู่ดูเหมือนบ้าน

หลักจากโปรยกำมะถันพลันจัดการ                 ฆ่าหมู่มารเชื้อโรคร้ายมลายลง

รากและกิ่งยิ่งแห้งแล้งเหี่ยวเฉา                        ชื่อเสียงเขาสูญหายสลายส่ง

ต่างประเทศเขตบ้านไซร้ไม่ยืนยง                    ทุกคนคงไม่คิดถึงคะนึงครวญ

เขาถูกขับลับหายไปจากถิ่น                               แดนแผ่นดินคนเป็นไซร้จนไห้หวน

ออกจากแสงสว่างวาวซึ่งพราวนวล                 ต้องรีบด่วนไปอยู่สู่มืดมน

เขาไม่มีลูกหลานวงศ์วานเครือ                          ที่หลงเหลือสืบสกุลสมบูรณ์ผล

เคราะห์กรรมเก่าแจ่มแจ้งแสดงตน                  ได้ยินยลทุกแห่งทั่วแหล่งไกล

ตั้งแต่ทิศตะวันออกยอกย้อนวก                        ตะวันตกตัวสั่นให้หวั่นไหว

ชะตากรรมคนเมามัวชั่วกระไร                         ไม่เกรงใจไม่กลัวพระเจ้าลืม

 

บทที่ 19 โยบเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงว่าตนเป็นฝ่ายถูก

โยบ

                เหตุไฉนเธอกล่าวถ้อยร้อยวาจา        คำที่ว่าทรมานรานจิตส่ง

เธอดูหมิ่นฉันหลายครั้งตั้งใจจง                       เธอก็คงไม่ละอายให้ร้ายกัน

ถ้าฉันทำผิดพลั้งดังว่าไว้                                    จะทำให้เธอเจ็บได้อย่างไรนั่น

เธอคิดว่าเธอดีกว่าค่าอนันต์                               ความยากครันที่ฉันรับกลับผิดไป

เธอไม่เห็นหรือว่า ธ ทรงทำ                              วางกับซ้ำดักฉันกักกันใกล้

ฉันต่อต้านพระเป็นเจ้าเพียงเท่าไร                  ไม่มีใครนิ่งนั่งฟังฉันเลย

ยุติธรรมฉันพร่ำร่ำเรียกหา                                 ไม่เห็นมาหามีไม่เรียกไปเฉย

ทรงปิดทางขวางกั้นฉันเช่นเคย                        ไม่เปิดเผยทางด่วนให้ผ่านเดิน

ทรงบันดาลให้มืดมนในหนทาง                      เอาเงินบ้างทองไปหมดไม่เขิน

ทั้งทำลายชื่อเสียงข้าความเจริญ                        รุกเผชิญทุกด้านกระชั้นมา

ทรงเอาความหวังใจไปทั้งหมด                         ปล่อยฉันอดแห้งหายตายไร้ค่า

พระพิโรธโกรธฉันนิรันดร์มา                          ทำดังว่าเป็นศัตรูผู้ฉกรรจ์

พระองค์ส่งกองทัพนับมากมี                            มาโจมตีฉันให้จิตไหวหวั่น

เขาขุดคูห้อมล้อมอ้อมประจัน                            เขาโอบกั้นกระโจมไว้ไม่เปิดทาง

                พระเจ้าทรงทำเช่นนี้ให้พี่น้อง         เหล่าพวกพ้องทอดทิ้งฉันพลันเหินห่าง

ฉันกลายเป็นคนแปลกหน้าดูท่าทาง                ผู้คนต่างเคยรู้จักก็มันเมิน

ญาติพี่น้องรักสนิทมิตรมากหลาย                    พากันหายหน้าหลบพบก็เจิ่น

ผู้เป็นแขกบ้านฉันนั้นเคยเชิญ                          กลับห่างเหินลืมเลือนเหมือนไม่เคย

หญิงรับใช้มองฉันผันบิดเบือน                        ทำเสมือนแปลกหน้าวางท่าเฉย

ดุจต่างชาติภาษาใดไม่คุ้นเคย                            เรียกไม่เอ่ยขานรับด้วยไม่ช่วยกัน

ภรรยาฉันเบือนหน้าคราหายใจ                       ทนไม่ไหวหน้าสลดเกินอดกลั้น

แม้น้องชายก็ไม่ยอมใกล้กัน                              เด็กเห็นฉันหัวเราะเยาะหยันเอา

เพื่อนสนิทมองเหยียดรังเกียจนัก                     คนเคยรักกลับหันหลังช่างแสนเศร้า

เหลือหนังหุ้มกระดูกห่อหนอตัวเรา                ชีพอับเฉาไปไม่รอดเกือบวอดวาย

เธอเป็นเพื่อนคุ้นหน้ามาช้านาน                      โปรดสงสารฉันเถิดนะยอดสหาย

ทรงโบยตีตัวฉันนั้นเกือบตาย                           พระเจ้าคลายเมตตาหมดปรานี

เหตุไฉนไยเธอรังแกฉัน                                    ข่มเหงกันเหมือนทรงทำช้ำเหลือที่

แล้วเธอยังทรมานฉันสิ้นดี                                ถึงเพียงนี้ไม่พอใจใช่ไหมเธอ

                ฉันอยากให้ใครบันทึกระลึกย้ำ        ถึงถ้อยคำของฉันสรรเสนอ

และเขียนถ้อยร้อยความไว้ไม่เผลอเรอ            จดเสมอเป็นหนังสือยึดถือนาน

หรือใช้สิ่วสกัดคำย้ำลงหิน                                ถ้อยทั้งสิ้นคงมั่นวันพ้นผ่าน

รู้ว่ามีผู้หนึ่งไซร้ในพิมาน                                  ทรงจัดการปกป้องฉันในบั้นปลาย

หลังโรคกินหิวหนังพังสิ้นดี                             ด้วงร่างนี้พบพระองค์คงสมหมาย

เห็นพระเจ้าด้วยตาจ้องมองมิคลาย                   ไม่กลับกลายแปลกหน้าท่าเหมือนเคย

ความกล้าฉันหมดไปไม่เผยอ                             เพราะพวกเธอเอ่ยคำพร่ำเฉลย

ทรมานเขาได้อย่างไร ทำไปเลย                    เธอแกล้งเอ่ยแก้ตัวหมายทำร้ายกัน

บัดนี้จงกลัวดาบฟันห้ำหั่นลง                           พระเจ้าทรงโกรธคนบาปหยาบมหันต์

เพื่อเธอรู้ท่านองค์หนึ่งซึ่งสำคัญ                      ท่านองค์นั้นพิพากษาทรงว่าความ

 

บทที่ 20  โศฟาร์วาดภาพความลำบากยากเย็นของคนชั่วร้าย

โศฟาร์

                นี่โยบเธอแกล้งปั่นฉันหัวเสีย           แสนอ่อนเพลียสิ้นอดทนไม่พ้นหยาม

ขอตอบถ้อยที่เธอย้ำซ้ำประณาม                       รู้ข้อความว่าตอบไปอย่างไรดี

เธอก็รู้เมื่อก่อนกาลโบราณมา                            พระเมตตาสร้างมนุษย์จุติที่

ในโลกหล้าอาศัยใช้ชีวี                                      และไม่มีคนชั่วใดสุขใจนาน

เขาใหญ่โตสูงเยี่ยมเทียมเท่าฟ้า                         ใหญ่นักหนาเท่าเมฆลอยเคลื่อนคล้อยผ่าน

เขาถูกเป่าเคล้าฝุ่นหมุนลนลาน                        หายชั่วกาลคนรู้จักมักแปลกใจ

เขาหายวับลับเลือนเหมือนความฝัน                นิมิตพลันยามค่ำมาหาเห็นไม่

ที่เคยอยู่จู่มาลี้หนีหน้าไป                                   ลูกเขาไซร้ต้องคืนของต้องขโมย

จากคนทุกข์ลำบากแสนยากจน                         เหลือทานทนเข็ญใจต้องไห้โหย

เคยหนุ่มขลังพลังกล้ามาร่วงโรย                      จะถูกโปรยเป็นดินไปคงไม่นาน

                ความชั่วช้าน่าอร่อยน้องหรือนั่น     เขาเคียวมันเชื่องช้าดุจอาหาร

ตกถึงท้องร้องขมต้องซมซาน                           เหมือนรับประทานยาพิษมีฤทธิ์แรง

คนชั่วต้องอาเจียนคลื่นเหียนสิ้น                      คายทรัพย์สินขโมยเขาเอาออกแจ้ง

พระเจ้าทรงเรียกคืนไซร้ให้สำแดง                  จากในแหล่งท้องเขาเค้นเอามา

คนชั่วกลืนสิ่งใดคล้ายยาพิษ                             ปลิดชีวิตให้วายตายเถิดหนา

เหมือนงูพิษขบกัดรัดกายา                                 ตัวเขาหาชีวิตไม่ต้องวายปราณ

ไม่ได้เห็นธารน้ำมันมะกอกชื่น                        ทั้งธารอื่นน้ำนมถึงน้ำผึ้งหวาน

เขาต้องเลิกผลิตล้มกิจการ                                  ละทิ้งงานทั้งหมดที่เขานี้ทำ

เขาไม่มีโอกาสดังปรารถนา                               สมอุรากับทรัพย์สินชีวินฉ่ำ

เพราะทอดทิ้งคนยากให้ตรากตรำ                   ยึดเรือนซ้ำคนอื่นสร้างอ้างของตน

เขาละโมบโลภเช่นนี้ไม่มีพอ                            ไม่เหลือหรอเมื่อเขากินสิ้นพืชผล

ความรุ่งเรืองสิ้นสลายไม่ทานทน                     ประสบผลสำเร็จทุกข์ตามรุกราน

ปล่อยให้เขากินเข้าไปตามใจเขา                      พระเป็นเจ้าจะลงทัณฑ์พลันหักหาญ

อุตส่าห์หนีดาบเหล็กกล้าล่ารังควาน               ธนูผลาญก้านทองเหลืองเยื้องย่างยิง

ธนูปักจนปรุทะลุร่าง                                          มีเลือดพร่างจากธนูพรั่งพรูยิ่ง

ความกลัวจับขั้วหัวใจหวั่นไหวจริง                  ของทุกสิ่งเก็บมากมายสลายพลัน

พระเพลิงซึ่งมนุษย์ไซร้มิได้จุด                         ไม่สิ้นสุดผลาญเผาเร้าใจหวั่น

ครอบครัวสูญสิ้นสลายมลายครัน                     ทุกสิ่งอันวอดวายในพระเพลิง

สวรรค์เปิดเผยกว้างอย่างให้เห็น                      ความบาปเด่นของชายนี้ที่เลยเหลิง

โลกมองเห็นเป็นพยานต้านกระเจิง                ทรัพย์สิ้นเชิงของเขาร้าวทำลาย

ในสายธารพิโรธโกรธของ ธ                            หายนะมาสู่มิรู้หาย

คนชั่วรับชะตากรรมซ้ำวอดวาย                        ทรงมั่นหมายประกาศิตลิขิตมา

 

บทที่ 21 โยบกล่าวยืนยันความเจริญของคนอธรม

โยบ

                ฟันฉันพูดรำพ้นฉันขอร้อง               เธอสนองปลอบใจฉันเท่านั้นหนา

ให้โอกาสฉันเอ่ยถ้อยร้อยวาจา                         จบพรรณนาเยาะเย้ยได้ตามใจพลัน

                ฉันไม่ได้โต้เถียงเสียงอึงมี่                 กับคนที่ตายได้ทั้งหลายนั่น

ฉันมีเหตุผลดีที่สำคัญ                                         จักอดกลั้นยอมทนจนสมควร

มองดูฉันนั้นยังไม่พอหรือ                                 ทำเธอทื่อตลึงงันให้ผันผวน

ฉันคิดถึงเหตุการณ์ผ่านรบกวน                        ฉันปั่นป่วนงันงกตกใจกลัว

                ไฉนทรงปล่อยตัวคนชั่วช้า                ให้อยู่มาจนแก่เกินเจริญทั่ว

เห็นลูกหลานเติบใหญ่สมวัยตัว                        ให้คนชั่วรุ่งเรืองกระเดื่องนาม

ธ ไม่โปรดให้บ้านช่องต้องพินาศ                    ไม่หวั่นหวาดอยู่ได้ไม่เกรงขาม

ฝูงสัตว์ตกลูกง่ายดายทุกยาม                              ต่างพ้นความลำบากไม่ยากเย็น

ลูกหลานวิ่งโลดไปคล้ายลูกแกะ                       เสียงพิณและขลุ่ยเป่าเข้ากับเต้น

มีชีวิตสุขไสไร้ลำเค็ญ                                         ตายไม่เห็นข้องใจไม่ทรมาน

                คนชั่วทูลพระเจ้าเฝ้าขอให้                ปล่อยเขาไว้ตามลำพังดั่งร้องขาน

ไม่อยากทราบพระประสงค์ทรงประทาน       คำ บงการชีวิตลิขิตทาง

ไม่จำเป็นต้องรับใช้ใกล้พระเจ้า                       วิงวอนเปล่าไร้ประโยชน์โกรธมิสร่าง

เขาทำเสร็จด้วยพลังดังจับวาง                           ฉันไม่อ้างรับความคิดชนิดนี้

                ความรุ่งโรจน์โชติช่วงของคนชั่ว     ไม่มีมัวมืดดับลับหรือนี่

ไม่มีใครสักคนหนึ่งซึ่งชีวี                                  เขาถึงที่หายนะหรือกระไร

ทรงไม่โกรธแล้วลงโทษคนโฉดชั่ว ให้เขาทั่วเหมือนฟางลิ่วปลิวไหว

หรือคล้ายฝุ่นละอองลอยล่องไป                      พายุใหญ่พัดซ้ำกระหน่ำมา

                เธออ้างว่าพระเจ้าทรงลงโทษลูก      เพราะพ่อผูกบาปกรรมทำไว้หนา

ไม่ใช่เป็นเช่นนั้นขอบัญชา                               ลงอาญาคนบาปสาปตามเพรง

ให้เห็นว่าทรงลงโทษโกรธเพราะบาป           ให้คนหยาบรับโทษพลันนั้นถูกเผง

ให้รู้ว่าทรงกริ้วตัวควรกลัวเกรง                        ให้ยำเยงพระเป็นเจ้าทรงฤทธิ์ไกร

เมื่อชีวิตมนุษย์ดับลับสิ้นลง                               ไม่พะวงหลานลูกสุขไฉน

มนุษย์จะสอนพระเจ้าได้อย่างไร                      มนุษย์ใดพิพากษาว่าความองค์

                บางคนสุขภาพดีไม่มีคลาย                 ตราบวันตายกายแกร่งแรงเสริมส่ง

เขาตายอย่างสงบสบสุขคง                                 ร่างยืนยงเข้มขลังพลังดี

บางคนเมื่ออยู่ไปไร้ความสุข                              ระทมทุกข์กระทั่งตายสุขหน่ายหนี

ทุกคนตายก็ถูกฝังยังปฐพี                                   ร่างกายมีตัวหนอนมาชอนไช

                ฉันรู้ว่าเธอโกรธฉันพลันถามว่า       คนชั่วช้าสำคัญบ้านอยู่ไหน

ไม่คุยกับผู้เดินทางบ้างหรือไร                           หรือเธอไม่ทราบเรื่องราวเขารายงาน

ในวันที่พระพิโรธลงโทษนั้น                           คนชั่วพลันชีวิตรอดปลอดภัยผลาญ

ไม่มีใครกล่าวโทษว่าคนสามานย์                     หรือรังควานแก้แค้นทดแทนทำ

เขาถูกหามไปอยู่สู่หลุมศพ                                 ก็ได้พบผู้เฝ้าเนาอยู่ร่ำ

คนนับพันร่วมขบวนชวนชักนำ                       มากยิ่งล้ำช่วยแห่ศพกันครบครัน

แม้พื้นดินก็ค่อยกลบลบร่างเขา                         แล้วเธอเล่าพูดเหลวไหลปลอบใจฉัน

ทุกสิ่งที่เธอพล่อยถ้อยความพลัน                      ล้วนแสร้างสรรวจีไม่มีจริง

 

บทที่ 22 เอลีฟัสกล่าวโทษโยบเรื่องความชั่วร้ายมหันต์

สนทนาตอนที่ 3  เอลีฟัส

                มีคนใดไร้ประโยชน์ต่อพระเจ้า       แม้ว่าเขาฉาดเปรื่องปราดยิ่ง

การทำถูกเป็นประโยชน์โปรดอ้างอิง              มันเป็นสิ่งให้คุณค่าหรืออย่างไร

หรือการเป็นคนดีด้วยช่วยพระองค์                 หาใช่คงกลัวพระเจ้านั้นใช่ไหม

พระเป็นเจ้าว่าพลันท่านลองใจ                        เปล่าไม่ใช่แต่เพราะทำบาปกรรมนัก

เพราะความชั่วที่เธอทำซ้ำพร่ำเพรื่อ                เอาผ้าเสื้อน้องชายหมายเก็บกัก

ปล่อยให้เหลือตัวเปล่าหนาผ้าถูกลัก                เพราะเขามักคิดผิดติดเงินเธอ

เธอไม่ยอมให้น้ำคนจนเหนื่อยอ่อน                ไม่อาทรคนหิวหาอาหารเสมอ

ให้อำนาจตำแหน่งงานสรรบำเรอ                   เสร็จแล้วเธอริบเขาเอาแดนดิน

พวกแม่หม้ายเธอไม่เอื้อช่วยเหลือเขา              ข่มเหงเอาลูกกำพร้าปล้นฆ่าสิ้น

มีแต่หลุมพรางดักกักชีวิน                                  ให้ถวิลหวาดหวั่นขึ้นทันที

มืดสนิทมัวมองจ้องไม่เห็น                                น้ำกระเซ็นท่วมตนจนล้นปรี่

พระสถิตพิมานสำราญฤดี                                  ทอดเนตรที่ดวงดาวพราวแสงไกล

แต่เธอยังมีหน้าหันมาถาม                                 ทรงทราบความใดแจ้งแถลงไข

เมฆบดบังพระองค์ทั่วสลัวไป                           แล้วไฉนตัดสินเราได้เล่าเธอ

เธอว่าเมฆบังพระเจ้าได้หรือนั่น                      ทรงผายผันหว่างโลกฟ้าเสมอ

จะเดินตามคนชั่วไปหรือไรเธอ                        น้ำท่วมเอ่อซัดเขาไปไกลก่อนวาร

นี่แหละคนไม่ยอมรับนับพระเจ้า                     ทรงทำเขาไม่ได้ไม่หักหาญ

แต่กระนั้นพระองค์ทรงบันดาล                       ให้เขาผ่านความรุ่งโรจน์โชติชีวิต

ไม่เข้าใจความคิดคนผิดชั่ว                                 คนดีทั่วปรีดาร่าเริงจิต

คนพิสุทธิ์หัวเราะเพราะสมคิด                         เห็นคนผิดชั่วคงถูกลงทัณฑ์

ทุกสิ่งของคนชั่วมัวมลทิน                                 ถูกพังภินท์ทำลายกลายเปลี่ยนผัน

ส่วนที่หลงเหลือติดน้อยนิดครัน                      วอดวายพลันสลายลับกับกองไฟ

                โยบสงบศึกกับพระเจ้าเถิด                เลิกละเมิดคุกคามองค์อย่าหลงใหล

อย่าเห็นทรงเป็นศัตรูอยู่ร่ำไป                           เลิกเสียได้พระองค์ทรงอวยพร

รับคำสอนของพระเจ้าใส่ใจจำ                         ถ่อมจิตซ้ำหันกลับมาหาพระองค์

เลิกทำชั่วในเรือนด้วยซื่อตรง                           ให้เธอหย่อนทองคำทิ้งดิ่งลงไป

เททองคำพิสุทธิ์ลงตรงธารแห้ง                       ทรงสำแดงเป็นทองของเธอไว้

ให้เป็นกองเงินเพลินเสียกระไร                      จงไว้ใจ ธ เสมอเธอจงจำ

พบว่าทรงเป็นผู้นำความยินดี                            เมื่อเธอนี้อธิษฐานร้องขานพร่ำ

ทรงจะตอบถ้อยถ้วนสำนวนคำ                        เธอจงทำตามคำสัตย์ปฏิญาณ

ทุกสิ่งที่เธอทำนำกมล                                         ประสบผลสำเร็จสุขทุกสถาน

แสงจะส่องทางเดินเจริญมาน                           พระประทานให้สว่างทางชีวิต

พระเจ้าจะทรงถอดคนยอดหยิ่ง                        แท้ที่จริงช่วยผู้ถ่อมอ่อนน้อมจิต

ทรงช่วยถ้าเธอพิสุทธิ์ผุดผ่องนิตย์                    ถ้าเธอคิดทำผองถูกต้องครัน

 

บทที่ 23 โยบอยากจะสู้คดีของตนกับพระเจ้า

โยบ

                ฉันกบฏบ่นว่ากล่าวพระเจ้าไซร้       อดไม่ได้ครวญคร่ำพร่ำเหลือกลั้น

อยากรู้ว่าหาพระเจ้าที่ไหนกัน                          อยากรู้พลันพบพระองค์ที่ไหนดี

ฉันจะได้ร่ำร้องฟ้องพระองค์                            โต้เถียงส่งเพื่อจะชนะนี่

อยากรู้ทรงตรัสไฉนไขวจี                                  พระองค์นี้จะตอบฉันประการใด

พระเจ้าจะเทพลังสิ้นทั้งหมด                            ไม่ละลดสู้ฉันแน่แท้ไฉน

ไม่ใช่นะทรงฟังคำฉันร่ำไป                              ฉันซื่อไซร้เหตุผลชอบโต้ตอบองค์

ทรงประกาศถึงฉันมิทันหยุด                            ว่าพิสุทธิ์ตลอดกาลท่านเสริมส่ง

ฉันค้นทั่วตะวันออกรอบนอกคง                      ไม่พบองค์พระเป็นเจ้าเที่ยวหันมอง

ไม่พบตะวันตกวกค้นหา                                    ทรงนำพาราชกิจทิศเหนือคล่อง

ทรงเดินทางสู่ทิศใต้ดังหมายปอง                     ฉันเฝ้าจ้องไม่เห็นพระเจ้าดังเช่นเคย

พระเจ้าทรงรู้จักไซร้ในย่างเท้า                         ที่ฉันก้าวเดินทางอย่างเปิดเผย

ถ้าพระเจ้าทรงทดสอบลอบเปรียบเปรย          จะเฉลยว่าฉันนี้พิสุทธิ์จริง

ฉันเดินตามทางพระองค์ทรงเลือกสรร           อย่างคงมั่นฉันถือซื่อสัตย์ยิ่ง

ไม่เคยเพริดเตลิดไกลไม่ประวิง                        ไม่ยอมวิ่งออกไปอยู่นอกลู่ทาง

ฉันทำตามบัญชาของพระองค์                          ตามประสงค์พระเจ้าใช่ใจตนอ้าง

ธ ไม่เปลี่ยนแปลงไซร้ไม่อำพราง                     ใครอาจขวางพระเจ้าได้นั้นไม่มี

กีดกันท่านไม่ให้ทำตามพระทัย                        โครงการใด ธ สร้างสรรค์ให้ฉันนี่

ทำสำเร็จเสร็จสมรมย์ฤดี                                     แผนการนี้เป็นหนึ่งในหลายแผนการ

ฉันต้องกลัวตัวสั่นพร่าหน้าพระองค์               พระผู้ทรงฤทธิ์ทำลายหายกลัวพล่าน

ไม่กลัวมืดเกรงกลัวสะท้านมาน                        ทั้งที่ผ่านความมืดพาให้ตามัว

 

บทที่ 24 โยบปรับทุกข์ที่พระเจ้าทรงเฉยเมยต่อความชั่วร้าย

                เหตุใดเล่าพระเจ้าเฝ้ากำหนด            ทรงวางกฎพิพากษาเวลาทั่ว

นั่นเป็นวันยุติธรรมสำหรับตัว                          ผู้พันพัวรับใช้ในพระองค์

มนุษย์เลื่อนหลักคั่นที่ปันเขต                            เพราะสาเหตุโลภที่ดินถิ่นประสงค์

ขโมยแกะเข้าคอกตัวชั่วเจาะจง                         ไม่พะวงลูกกำพร้าแย่งลาไป

และกักวัวหญิงหม้ายไว้จนกว่า                         เธอจะมาใช้หนี้หมดปลดปล่อยให้

คนจนไม่ให้สิทธิ์กีดกันไป                                คนเข็ญใจกดขี่หนีซ่อนตัว

                คนยากจนเปรียบเป็นเช่นลาป่า        เที่ยวเสาะหาอาหารกันดารทั่ว

ไม่พบพานอาหารใดให้มืดมัว                           เพื่อลูกตัวเพื่อตนขัดสนจริง

ต้องเกี่ยวเก็บจากทุ่งกล้านาคนอื่น                    ต้องจำกลืนองุ่นผลคนชั่วยิ่ง

กลางคืนตรมผ้าห่มไร้ไว้แอบอิง                       หาใดผิงกันเล่าให้หนาวคลาย

ฝนที่ตกรดราดสาดภูผา                                      ให้กายาโชกชุ่มอยู่มิรู้หาย

ต้องคุดคู้หลบฝนอดทนกาย                               แทบวางวายข้างก้อนหินสิ้นกำบัง

                คนชั่วพาเด็กมากำพร้าพ่อ                  เขาลวงล่อให้เป็นทาสบังอาจสั่ง

ลูกคนจนเอาไปใช้พลัง                                      คร่าตัวหวังใช้หนี้สินให้สิ้นไป

คนยากจนข้นแค้นต้องออกป้องกัน                 เขาทั้งนั้นไร้เสื้อผ้ามาสวมใส่

ต้องท้องกิ่วหิวโหยร่วงโรยใจ                           ขณะไปนวดในนาข้าวสาลี

เราหีบผลมะกอกออกน้ำมัน                              และเค้นคั้นผลองุ่นวุ่นเต็มที่

เขาหีบทำองุ่นเหล้าเข้าขั้นดี                              แต่เขานี้กระหายน้ำต้องจำทน

เธอได้ยินสำเนียงเสียงคนป่วย                          ใกล้ตายด้วยครวญคร่ำพร่ำทุกหน

ร้องในเมืองเลื่องลืออื้ออึงอล                            ธ ไม่สนใจฟังเขานั่งวอน

                มีผู้ไม่ยอมรับแสงสว่างใส                  ไม่เข้าใจเลี่ยงทางห่างแสงก่อน

พอรุ่งสางสว่างพลันตะวันจร                           ฆาตกรออกไปล่าฆ่าคนจน

และออกปล้นทั่วไปในกลางคืน                       คบชู้ชื่นคอยพลบค่ำทำสับสน         

เขาซ่อนหน้าไม่ให้ใครเห็นตน                        กลางคืนคนขโมยเฝ้าเข้าบ้านเรือน

พอกลางวันพวกมันพากันหลบ                        เข้าซ่อนซบพ้นสว่างห่างคล้อยเคลื่อน

กลัวสว่างยามกลางวันผันบิดเบือน                  ยามมืดเยือนพวกมันไซร้ไม่เคยกลัว

โศฟาร์

                คนชั่วถูกน้ำซัดท่วมพัดไป                 ทรงสาปให้ที่ดินท้องถิ่นชั่ว

ไม่ต้องออกไปไร่ให้วุ่นตัว                                 องุ่นทั่วทั้งไร่ไม่ต้องทำ

ดังหิมะละลายคลายตัวอ่อน                               เพราะความร้อนแรงร้ายมากรายกล้ำ

ปวงคนบาปสาบสูญสิ้นถิ่นประจำ                   เขาถูกนำไปจากแดนแคว้นคนเป็น

ไม่มีใครระลึกนึกถึงเขา                                      แม้แม่เล่ามองหายไม่แลเห็น

หนอนชอนไชร่างกายเน่าเศร้าลำเค็ญ            มันไม่เว้นบ่อนทำลายสลายครัน

เป็นเช่นนี้เพราะข่มเหงคะเนงร้าย                  ต่อแม่หม้ายไร้การุญครุ่นเดียดฉันท์

ไม่เมตตาปรานีเอื้อชีวัน                                      แก่หญิงหมันหมดหวังสิ้นทั้งมวล

ทรงทำลายล้างคนล้นอำนาจ                             อย่างเด็ดขาดด้วยพลังพังภินท์ถ้วน

บันดาลดลคนชั่วร้ายตายตามควร                     ธ อาจหวนให้อยู่รอดปลอดภัยพาล

ทรงจับตาดูเขาไว้ไม่ว่างเว้น                              ทรงมองเห็นตลอดเวลามาทุกด้าน

คนชั่วพบความสำเร็จเสร็จไม่นาน                   เหมือนฉากผ่านเพียงครูยามกลับทรามไป

แล้วเหี่ยวเฉาแห้งหายคล้ายหญ้ารก                 เหมือนข้าวปรกถูกตัดมัดในไร่

ใครบ้างที่ปฏิเสธเหตุนี้ไย                                  ถ้อยคำใครพิสูจน์เห็นไม่เป็นจริง

 

บทที่ 25 บิลดัดปฏิเสธข้อที่ว่า ต่อพระเจ้า มนุษย์จะเป็นฝ่ายถูกได้

บิลดัด

                พระเจ้าทรงฤทธาศักดาหัก                ทุกคนจักกลัวเกรงยำเยงยิ่ง

พระองค์ทรงให้อาณาจักรที่พักพิง                  สวรรค์นิ่งเงียบสงบสบสุขครัน

ใครอาจรับนับทูตสวรรค์ได้                               ผู้รับใช้พระองค์ทรงเลือกสรร

มีที่ใด ธ มิให้สว่างพลัน                                     หรือไม่หันแสงทองมาส่องเลย

มีผู้ใดชอบธรรมล้ำวิเศษ                                     ในสายเนตรพระเจ้าหนอขอเฉลย

ในดวงตาพระเจ้านั้นจันทร์เฉยเมย                  เหมือนไม่เผยแสงสว่างกระจ่างมา

ดวงดาราทั่วไปไม่พิสุทธิ์                                    แล้วมนุษย์ก็คล้ายหนอนชอนทั่วหล้า

เหมือนแมลงบินว่อนร่อนวนา                          ไม่มีค่าควรในสายเนตรองค์

 

บทที่ 26  โยบกล่าวว่าพระเจ้าทรงมีอำนาจครอบครอง

โยบ

                เธอช่วยเหลือฉันนี้ดีเหลือเกิน          ฉันเผอิญยากจนแท้อ่อนแอส่ง

แนะนำฉันปันความรู้ให้อยู่ยง                          เธอประสงค์มอบคนเขลาเบาปัญญา

เธอคิดว่าใครเล่าเขาจะฟัง                                  อย่างจริงจังถ้อยวจีเธอนี้หนา

ใครดลใจให้เธอเพ้อวาจา                                  พูดออกมาอย่างนี้ได้ไฉนกัน

บิลดัด

                ในเมืองผีกำลังคลั่งหวั่นไหว            คนอยู่ในนั้นกลัวจนตัวสั่น

โลกคนตายขยายแผ่ลงมาพลัน                          ต่อพักตร์ท่านผู้เป็นเจ้าเฝ้าประจาน

ไม่มีสิ่งใดบังหวังพ้นพราก                                หลบไปจากสายเนตร ธ มาผสาน

ทรงกางฟ้าด้านเหนือเพื่อจัดการ                      โลกแขวนคานอวกาศไม่ขาดลอย

พระเจ้าให้เมฆลอยคอยอุ้มน้ำ                           ไม่รั่วซ้ำรับน้ำหนักไม่พักถอย

พระองค์ซ่อนจันทร์เพ็ญหลบเร้นคอย            สูงสุดสอยแอบบังหลังเมฆา

วงเส้นรอบพื้นชลามหาสมุทร                          เพื่อแยกฉุดสว่างพ้นมืดมนฝ้า

ทรงคุกคามหลักพยุงคุ้งนภา                              มันสั่นพร่าสะท้านด้วยหวั่นกลัว

พระองค์ทรงพิชิตได้ในทะเล                           ทรงทุ่มเทด้วยพลังเข้มขลังกลั้ว

ปวงสัตว์ร้ายของราหับถูกจับตัว                        ทำลายทั่วล้างซ้ำด้วยกำลัง

ลมปราณองค์ทรงให้ฟ้าจ้าแจ่มใส                    พระหัตถ์ไท้ฆ่าสัตว์ที่หลบหนีคลั่ง

นี่เป็นเพียงใบ้หรอกบอกให้ฟัง                        ฤทธิ์เกินหยั่งของพระเจ้านั้นเห็นพลัน

เราได้ยินแต่เสียงสำเนียงค่อย                           กระซิบถ้อยบางเบาราวกับฝัน

ใครรู้บ้างอย่างจริงแท้แน่ใจครัน                      พระเจ้าเท่านั้นทรงยิ่งใหญ่หาใครเทียม

 

บทที่ 27 โยบบรรยายถึงความลำบากยากเย็นของคนชั่วร้าย

โยบ

                ขอสาบานอ้างองค์พระทรงฤทธิ์      ผู้ถอนสิทธิ์ฉันไซร้ในสิ่งเยี่ยม

ไม่ให้ความยุติธรรมตามธรรมเนียม                  ให้ฉันเปี่ยมด้วยขื่นขมระทมใจ

ตราบเท่าที่ทรงให้มีชีวีมั่น                                 ปากของฉันไม่กล่าวชั่วกลั้วบาปได้

ลิ้นไม่ปดคดเคี้ยวเลี้ยวลัดไป                              ฉันจะไม่ว่าเธอพร้องถูกต้องล้ำ

ตราบเท่าที่ฉันมีฤดีอยู่                                         ยินยันสู้ว่าพิสุทธิ์ผุดผ่องพร่ำ

ไม่เลิกพูดว่าถูกแท้แน่นอนซ้ำ                           มโนธรรมคุ้มใจแจ่มใสดี

                ผู้ขัดขวางต่อสู้ฉันพลันถูกโทษ         เหมือนคนโฉดชั่วอธรรมก่อกรรมที่

ไม่นับถือพระเจ้าหวังใดในชีวี                         ในยามที่ทรงคุกคามตามทวงมาน

ยามทุกข์ยาก ธ ฟังคำพร่ำหรือไม่                      ควรอยากได้ความยินดีปีติซ่าน

ทั้งมวลที่พระองค์ท่านประทาน                       อธิษฐานทูลเสมอเพ้อวิงวอน

                ฉันกล่าวว่าพระอำนาจฉกาจนัก       พระเจ้าทรงดำริใดได้เคยสอน

แต่เธอก็ได้เห็นเองเปล่งสุนทร                         ไม่แน่นอนพูดเหลวไหลทำไมกัน

โศฟาร์

                พระทรงฤทธิ์ลงโทษคนโหดชั่ว       ลูกชายทั่วทุกคนที่เขามีนั่น

ต้องตายในสงครามหมดสลดครัน                   ลูกเขานั้นอดอยากหนอไม่พอกิน

คนที่เหลือชีวิตรอดไม่วอดวาย                          ถูกโรคร้ายคุกคามตามฆ่าสิ้น

ภรรยาม่ายหยุดไห้หาน้ำตาริน                          เลิกถวิลครวญคร่ำยามสิ้นใจ

คนชั่วอาจรวยทรัพย์นับไม่ถ้วน                        เสื้อผ้าล้วนเกินต้องการประมาณไหว

คนดีได้เสื้อผ้าเขาใส่เอาไป                                คนซื่อได้เงินทองของเขามี

คนชั่วสร้างบ้านไว้อยู่ไม่นาน                           บ้านเรือนชานเหมือนแมงมุมใยคลุมที่

เหมือนกระท่อมทาสเฝ้ามานานปี                    สุดท้ายนี้ลงนอนตอนร่ำรวย

ตื่นขึ้นเห็นทรัพย์มวลถ้วนสมบัติ                      กระจายพลัดสูญสลายหายหมดด้วย

ความกลัวจู่โจมพรั่นสั่นระทวย                         เหมือนน้ำพวยพุ่งล้นท่วมท้นนอง

ลมตะวันออกพัดซัดตัวเขา                                 กลางคืนเข้าพัดบ้านไปให้หม่นหมอง

ถูกพายุพัดกระหน่ำซ้ำคะนอง                          มันซัดต้องอย่างไม่คิดจิตเมตตา

ขณะที่หนีหน้าพาตัวรอด                                   พายุสอดพันเขากลิ้งเมื่อวิ่งร่า

อำนาจล้างทำลายนั้นเกินพรรณนา                  สั่นอุราไหวหวั่นพรั่นฤดี

 

บทที่ 28 การที่มนุษย์แสวงหาสติปัญญา

สรรเสริญปัญญา

                เขาขุดแร่เงินที่มีเหมืองแร่                  ทองคำแท้ถลุงหลอมพร้อมจากที่

มนุษย์ขุดเหล็กจากภาคปฐพี                              ทองแดงดีหลอมจากหินถิ่นเขาไกล

มนุษย์มองที่มิดลึกตรึกสำรวจ                            คอยค้นตรวจโลกลึกล้นอยู่หนไหน

ขดหาหินในถิ่นมัวมืดทั่วไป                              แสนห่างไกลจากที่อยู่ของผู้คน

หรือที่คนเคยท่องเที่ยวเลี้ยวเหยาะย่าง            เขาขุดทางสู่เหมืองเสร็จสำเร็จผล

เขาทำงานกันโดดเดี่ยวขับเคี่ยวทน                  โหนเชือกวนในบ่อเหมืองต่อเนื่องกัน

ธัญญาหารงอกขึ้นจากพื้นได้                            แต่ภายใต้พื้นดินนี้สิแปรผัน

สรรพสิ่งถูกทิ้งจมทับถมครัน                            ฉีกทิ้งหั่นบดขยี้บี้แหลกราน

หินบนพื้นโลกนี้มีเพชรนิล                               ละอองดินก็มีทองกองทั่วด้าน

หาเหยี่ยวใดเห็นถนนค้นอยู่นาน                     ไม่พบผ่านทางไปในเมืองเลย

ไม่มีแร้งตัวไหนสิ้นเคยบินข้าม                         แดนหวงห้ามสัตว์ร้ายห่างทางไม่เผย

สิงโตไม่เดินผ่านด่านไม่เคย                              ต่างเมินเฉยถนนเปลี่ยนไม่เหลียวแล

                มนุษย์ขุดหินแกร่งแข็งที่สุด              ภูเขาขุดถึงฐานทนทานแน่

เขาขุดหินเป็นอุโมงค์โปร่งดวงแด                   พบหินแท้ของดีมีค่าควร

บุกตลุยคุ้ยถึงซึ่งแหล่งน้ำ                                   สิ่งซ้อนซ้ำนำสู่ทางสว่างถ้วน

ปัญญาเกิดแหล่งใดใคร่ทบทวน                       เข้าใจล้วนหาได้ที่ไหนนา

ไม่พบปัญญาอยู่หมู่มนุษย์                                  ปัญญาสุทธิ์แท้ไซร้ใครรู้ค่า

แม้ทะเลมหาสมุทรลึกสุดตา                              หาปัญญาไม่พบประสบเลย

เงินทองหรือซื้อปัญญาหาได้ไม่                       เพชรพลอยใสทองคำพร่ำเฉลย

จะซื้อหาปัญญาได้นั้นไม่เคย                             จะเปรียบเปรยค่าปัญญามากกว่าทอง

กว่าแจกันทองคำล้ำเลิศแพรว                           มากกว่าแก้วเจียระไนเนื้อใสส่อง

หินผลึกปะการังยังเป็นรอง                               ทับทิมทองบุษราคัมนำเทียมทัน

เมื่อเทียบกับปัญญาไซร้ก็ไร้ค่า                          แล้วปัญญามาจากไหนที่ใดนั่น

เราจะหัดเข้าใจจากไหนกัน                               ชีวิตสรรพ์ไม่เห็นเร้นปัญญา

แม้กระทั่งนกผินบินผันผาย                              แม้ความตายความพินาศอาจรับว่า

เคยได้ยินกิตติศัพท์รับฟังมา                              เอ่ยวาจาเล่าลือกันเท่านั้นแท้

พระผู้เดียวรู้จักทางหว่างวิถี                               รู้จักที่พบปัญญาล้ำค่าแน่

ทรงเห็นสุดปลายโลกาสุดตาแล                       ทรงเห็นแม้สิ่งอยู่ในใต้ฟ้างาม

เมื่อพระเจ้าทรงให้ลมมีอำนาจ                          วัดขนาดทะเลได้ให้เกรงขาม

ทรงให้ฝนตกแห่งใดได้ทุกยาม                        ฟ้าคำรามคะนองไปได้ทั่วทาง

เวลานั้น ธ ทรงเห็นเด่นปัญญา                         สอบคุณค่าของมันนั้นกระจ่าง

ทรงประทานปัญญาให้ไม่จืดจาง                     ไม่สิ้นสร่างพอพระทัยเต็มใจครัน

จึงตรัสว่ามนุษย์ทั่วจงกลัว ธ                              แล้วเจ้าจะฉลาดองอาจมั่น

จงหันกลับจากความชั่วเมามัวพลัน                  เจ้าทั้งนั้นจะสว่างต่างเข้าใจ

 

บทที่ 29 โยบรำลึกถึงความสุขสบายของตนในครั้งก่อน

โยบเริ่มพูดอีกว่า

                ชีวิตฉันถ้าเหมือนเช่นพระเป็นเจ้า  ที่คอยเฝ้าดูแลฉันป้องกันให้

เวลานั้นพระสถิตสนิทใน                                 อยู่ชิดใกล้ฉันเสมอบำเรอรมย์

ทรงส่องทางให้พลันเมื่อฉันเดิน                      ยามเผชิญความมืดกลายหายขื่นขม

สมัยนั้นฉันรุ่งเรืองประเทืองชม                       ไมตรีพรมทรงพิทักษ์รักษ์บ้านเรือน

พระทรงฤทธิ์สถิตชิดใกล้ฉัน                            มะกอกเคลื่อนขึ้นในดินปนหินพลัน

เมื่อใดที่ผู้ชรามาประชุม                                     ฉันชุมนุมร่วมกับเขาเข้าสังสรรค์

พวกคนหนุ่มเห็นฉันปลีกหลีกทางครัน         ด้วยใจมั่นคารวะคอยระวัง

คนชรายืนตรงคงนอบนบ                                 น้อมเคารพสยบย่อรอคำสั่ง

หัวหน้าชนสงบถ้อยต่างคอยฟัง                       ผู้ใหญ่ยั้งสำคัญสุดหยุดเงียบลง

                ทุกคนเห็นหรอยินคำพร่ำถึงฉัน       ต่างกล่าวขวัญการทำดีที่สูงส่ง

ช่วยเหลอคนจนร้องทุกข์รุกปลดปลง              หลักมั่นคงลูกกำพร้ามาพักพิง

คนทุกข์หนักกลับสรรเสริญและเยินยอ          แม่หม้ายพอมีกินใช้ให้ทุกสิ่ง

ทำทุกอย่างยุติธรรมตามความจริง                     ไม่ละทิ้งตาบอดง่อยด้อยพิการ

ฉันเป็นเหมือนบิดาคนจนทั้งหลาย                  พยุงกายคนแปลกหน้าคราร้าวฉาน

ล้างอำนาจคนโหดโฉดดวงมาน                       และจัดการช่วยเหลือเหยื่อรอดตน

                ฉันคิดว่าอายุยืนยาวยิ่งนัก                  หลับตาพักตายในบ้านสราญล้น

เหมือนรากไม้อิ่มน้ำฉ่ำชื่นชล                           กิ่งก้านปนน้ำค้างชุ่มปกคลุมใบ

ทุกคนเยินยอฉันและสรรเสริญ                        ทั้งเจริญพลังยังแจ่มใส

ฉันแนะนำทุกคนยั้งนิ่งฟังไป                           พูดจบไซร้ใครกล่าวเติมเสริมไม่มี

ถ้อยคำขลังฝังใจเขาเท่าหยาดฝน                      ทั่วทุกคนกระหายฟังหวังเต็มที่

เหมือนชาวนารับฝนแรกแปลกชีวี                   ยิ้มยินดีฉันมอบให้ไม่เชื่อตา

ความหม่นหมองครองเศร้าของเขาไซร้          ไม่ทำให้ฉันท้อถอยพลอยหนีหน้า

ฉันเข้ารับหน้าที่นั้นตามปัญญา                        ต้องเก่งกล้าชีวินตัดสินใจ

ฉันนำเขาเรื่อยไปไม่เร่งรัด                                เหมือนกษัตริย์นำทัพรับศึกใหญ่

ปลุกปลอบจิตให้แข็งแกร่งเกรียงไกร              ยามที่ใจเขาท้อแท้อ่อนแอลง

 

บทที่ 30 โยบโอดครวญถึงความน่าสะอิดสะเอียนของเขาในปัจจุบัน

                แต่เดี๋ยวนี้คนหนุ่มกว่ามาเยาะฉัน     พ่อเขานั้นเป็นคนเลวเหลวไหลหลง

ช่วยสุนัขเฝ้าแกะนั้นฉันพะวง                          ไม่ประสงค์ช่วงใช้ไม่ไว้วาง

พวกเขาอ่อนระโหยโรยแรงซ่าน                     จนทำงานไม่ไหวไปทุกอย่าง

เขายากจนหิวโหยหามามิจาง                            พวกเขาต่างแทะรากไม้ตายแห้งกรัง

ยามกลางคืนในถิ่นอันกันดารเปลี่ยน              เขาต้องเที่ยวถอนพืชกินด้วยสิ้นหวัง

เก็บมาจากทะเลทรายหมายประทัง                  กินกระทั่งรากหญ้าที่ไม่มีรส

ทุกคนโห่ไล่เขาไปให้ไกลพ้น                          เหมือนโห่คนขโมยมาหน้าสลด

ต้องมุดกายอยู่ในถ้ำซ้ำเลี้ยวลด                          ในโพรงคดขุดเข้ามาหน้าผาชัน

เขาเห่าหอนเหมือนสัตว์วิ่งลัดป่า                      ซุกกายาใต้สุมทุมพุ่มไม้นั่น

ลุกขับออกนอกประเทศเขตตามครัน               ดุจชนชั้นสกุลถ่อยด้อยปัญญา

นี่เขาพากันหัวเราะเย้ยเยาะฉัน                         ต่างขบขันเห็นฉันเป็นตลกบ้า

เขาทำฉันน่ารังเกียจเดียดฉันท์นา                    เขาคิดว่าตัวเขานี้ดีเกินไป

บ้วนน้ำลายคายถ่มมารดหน้าฉัน                      เพราะพระเจ้าให้อ่อนแอเกินแก้ไข

ต้องหมดหวังพังภินท์แทบสิ้นใจ                     พวกเขาไซร้กลับตวาดเกรี้ยวกราดมอง

คนกลุ่มนี้หมายหัวกลั้วทำร้าย                           เขาทั้งหลายให้วิ่งมาตาจับจ้อง

แล้วโจมตีเด็ดขาดพลันขั้นทดลอง                    พวกเขาจ้องทำร้ายฉันกีดกันทาง

ไม่มีคนหยุดยั้งรั้งเขาได้                                      เขากรูใส่ช่องป้องกันฉันไม่สร่าง

พังลงมาจากบนนี้มิละวาง                                 ความกลัวย่างเข้าครอบงำประจำมาน

ความสง่าผ่าเผยเลยหมดสิ้น                               เหมือนลมรินรำเพยเลยพัดผ่าน

ความรุ่งเรืองดุจกลุ่มเมฆวิเวกนาน                   กระจายซ่านหายลับดับสิ้นไป

บัดนี้ฉันใกล้ตายวายชีวัน                                   หาใดบรรเทาทรมานตัวฉันได้

ยามค่ำคืนกระดูกร้าวราวขาดใจ                        ความปวดไซร้แทะไม่จบครบเสียที

พระเจ้าทรงกระชากศอคอเสื้อฉัน                   และบิดผันจนผิดร่างช่างขยี้

ทรงโยนฉันลงคลุกฝุ่นกรุ่นธุลี                         ฉันไม่ดีกว่าขี้ดินถิ่นโคลนตม

                โอ้พระเจ้าข้าพร้องร้องทูลไป           พระองค์ไม่ตอบความตามเหมาะสม

เมื่อข้าวอนอ่อนหวานขานคารม                       สุดขื่นขมไท้ไม่ใส่พระทัยฟัง

ทรงทำข้าหลายอย่างช่างโหดร้าย                     ข่มเหงกายด้วยอำนาจอาชญาสั่ง

ปล่อยให้ลมพัดข้าไกลไม่จีรัง                            โยนไม่ยั้งไปมาพายุแรง

ข้าพระองค์ทราบว่าองค์ทรงกระชาก              และฉุดลากสู่ความตายเข้าในแหล่ง

พบชะตากรรมเก่าเร้าเสียดแทง                        ทรงจัดแจงเก็บไว้ให้ทุกคน

เหตุใดเล่าพระองค์ทรงมั่นหมาย                      มุ่งทำร้ายคนเยินยับชีพสับสน

ทำอะไรไม่ได้จนใจตน                                       นอกจากบ่นพร่ำขอรอเมตตา

ข้าพระองค์หวังรับสุขสนุกสนาน                    และชื่นบานด้วยสว่างกระจ่างใส

กลับได้รับความลำบากทุกข์ยากใจ                   ซ้ำทำให้ความมืดทั่วมัวมาแทน

ตัวข้าแตกเป็นเสี่ยงเกินเลี่ยงหลบ                     เพราะต้องพบความห่วงใยใจร้าวแสน

มีแต่ทุกข์ทรมานซ่านเป็นแกน                          รออยู่แดนข้างหน้าพาระทม

ข้าเดินไปด้วยหม่นหมองนองน้ำตา                ไร้วาจาปลอบจิตให้ช่วยด้วยเถิดหนา

เสียงวิงวอนเศร้าสร้อยละห้อยโหย                  เปลี่ยวจิตโดยเดียวดายมาหายหน้า

เหมือนสุนัขจิ้งจอกร้องก้องพนา                      หรือเสียงจ้ากระจอกเทศในเขตไพร

ผิวกายข้ามืดคล้ำดูดำวาว                                     ตัวร้อนผ่าวร้าวจิตเพราะพิษไข้

ณ ที่นี้ยินดนตรีที่เริงใจ                                       กลับร้องไห้ครวญคร่ำร่ำโศกา

 

บทที่ 31 โยบยืนยันความสัตย์ซื่อของตนเอง

                ข้าสาบานมั่นฤทัยจากใจจริง             ไม่มองหญิงด้วยใจที่มีตัณหา

พระทรงฤทธิ์ทำอย่างไรให้เรานา                    ธ ทรงหาใดตอบชนกอปรการ

พระองค์ให้ผู้ผิดพลาดพินาศยับ                       พระเจ้ารับรู้ทุกสิ่งยิ่งแตกฉาน

ทรงรู้เห็นกิจที่ทำประจำวาร                              ย่างเท้าผ่านทุกก้าวนั้นท่านเห็นดี

                ฉันสาบานว่าไม่ได้ทำชั่ว                    ไม่เย้ายั่วหลอกใครให้ป่นปี้

ขอทรงชั่งใจฉันในทันที                                    วางบนที่ตาชั่งตรงทรงทดลอง

จะทรงเห็นว่าฉันซิบริสุทธิ์                                ถ้าฉันหยุดหันหนีห่างทางถูกต้อง

ปล่อยความชั่วชักนำใจให้ลำพอง                    ถ้ามือของฉันเปรอะเลอะบาปมา

ก็ขอให้พืชผลฉันพลันมลาย                             คนอื่นกลายกินพืชพันธุ์ฉันปลูกหา

ถ้าติดใจใฝ่ฝันภรรยา                                          เพื่อนบ้านนาจนซุ่มอยู่ดูท่าที

นอกประตูเรือนชานบ้านหญิงนั้น                  ภรรยาฉันให้สรรหาอาหารที่

มีรสชื่นให้ชายอื่นกินมากมี                               ปรนเปรอดีแล้วมิหนำซ้ำร่วมนอน

เป็นบาปกรรมพันผูกถูกประหาร                     เหมือนล้างผลาญลงนรกที่หมกไหม้

ทุกสิ่งที่มีค่ามาสูญไป                                          ไม่เหลือไว้สลายพลันหวั่นอารมณ์

เมื่อคนใช้หนึ่งคนบ่นว่าฉัน                              จัดการอันยุติธรรมซ้ำฟังก่อน

ถ้าไม่ทำเช่นนั้นคล้ายบั่นทอน                          หันหน้าย้อนหาพระเจ้าได้อย่างไรกัน

ฉันจะพร้องพจน์ได้อย่างไรเล่า                        เมื่อพระเจ้าพิพากษาชะตาฉัน

เพราะพระผู้สร้างฉันคงองค์เดียวกัน              กับสร้างสรรค์คนรับใช้คือพระองค์

ฉันไม่เคยปฏิเสธเหตุการณ์ช่วย                        เอื้ออำนวยคนจนด้อยคอยเสริมส่ง

ไม่ปล่อยพวกแม่หม้ายให้งุนงง                        คอยพะวงสิ้นหวังพลังมาน

หรือปล่อยลูกกำพร้าหิวท้องกิ่วโหย             หน้าร่วงโรยยามฉันลิ้มชิมอาหาร

จนตลอดชีพฉันอันยาวนาน                              ฉันจัดการดูแลให้ได้สมปอง

เมื่อฉันพบคนขัดสนที่จนยาก                           แสนลำบากไร้เงินหาซื้อผ้าผอง

ฉันมอบเสื้อขนสัตว์ให้ไว้ครอบครอง             ขนแกะของฝูงฉันไซร้ที่ใช้ทอ

แล้วเขาจะสรรเสริญเยินยอยิ่ง                           จากใจจริงเต็มจิตเขาคิดหนอ

ถ้าฉันโกงลูกกำพร้าค้าความพอ                        ชนะรอในชั้นศาลฉันรู้ดี

ก็ขอให้แขนฉันหักถูกลากฉุด                           กระชากหลุดจากบ่าลงไม่คงที่

ฉันเกรง ธ จะลงโทษพิโรธทวี                          เรื่องเช่นนี้ไม่มีวันฉันจะทำ

                ฉันไม่เคยไว้ใจที่มั่งมีจริง                   ภาคภูมิยิ่งในสินทรัพย์นับค่าล้ำ

ไม่เคยไหว้ตะวันแจ้งแสงประจำ                      หรือน้อมนำนบไหว้จันทร์อันสวยงาม

ฉันไม่เคยคิดทำกรรมเช่นนั้น                            บาปมหันต์โทษถึงตายให้เกรงขาม

ไม่ยอมรับพระเจ้านั้นด้วยจิตทราม                   พยายามเลิกละทิ้งพระเจ้าไป

ฉันไม่เคยดีใจเมื่อได้รู้                                         ว่าศัตรูรับทุกข์ทนจนหม่นไหม้

หรือพบเขาหายนะจะพอใจ                              ไม่ขอให้เขาตายบาปร้ายเจอ

ทุกคนทำงานให้ฉันนั้นรู้ดี                                ว่าฉันนี้รับแขกแปลกหน้าเสมอ

ฉันต้อนรับคนเดินทางอย่างเลิศเลอ                คอยเสมอสู่บ้านฉันสราญรมย์

ไม่ยอมให้ซบร่างข้างถนน                                 แต่ส่วนคนอื่นปิดบาปผิดถม

ฉันไม่ปิดบาปกรรมย้ำให้จม                              คนปากคมว่าอย่างไรไม่เคยกลัว

ไม่เคยนิ่งเงียบสงบหลบในบ้าน                       เพราะเกรงการเย้ยหยันเยาะกันทั่ว

จะไม่มีใครฟังคำพร่ำระรัว                                ถ้อยคำตัวฉันกล่าวบ้างหรืออย่างไร

ฉันสาบานขานอ้างอย่างเต็มที่                          เอ่ยวจีจริงทุกเมื่อเชื่อถือได้

ขอพระเจ้าทรงฤทธิ์อิทธิไกร                             ทรงตอบให้ฉันฟังดังปรารมภ์
ถ้าศัตรูกล่าวหาว่าตัวฉัน                                     สิ่งสำคัญเขียนลงไว้ให้เหมาะสม

ฉันจะได้มีไว้ใฝ่นิยม                                           ห้อยคอชมชื่นจิตคิดลำพอง

และกางออกกว้างขวางวางให้เห็น                  สิ่งบำเพ็ญทูลพระเจ้าไม่ปิดป้อง

กิจกรรมเสนอนำตามทำนอง                             เชิดหน้ามองเมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้านา

ถ้าฉันโกงที่นาสิ้นกินพืชผล                             ปล่อยให้คนปลูกอดตายกระหายหา

ให้หญ้าปกข้าวบาร์ลีที่พสุธา                             หนามไร้ค่าคลุมที่นาข้าวสาลี

                จบถ้อยคำของโยบเพียงนี้

 

บทที่ 32  เอลีฮู อ้างเหตุที่ตนมีสิทธิที่จะตอบโยบ

                ชายทั้งสามเลิกพูดโต้ตอบโยบเพราะโยบยืนยันว่าเขาบริสุทธิ์ แล้วชายผู้หนึ่งซึ่งชื่อ เอลีฮูด โมโหไว้ไม่ได้เนื่องจากโยบแสดงหลักฐานว่า เขาบริสุทธิ์ และตำหนิพระเจ้า (เอลีฮูเป็นบุตรของบาราเคล เสื้อสายบุส อยู่ในตระกูลราม) เอลีฮูโรกะเพื่อนสามคนของโยบด้วยเขาไม่รู้จะโต้ตอบโยบว่าอย่างไร นี่ทำให้ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ผิด เนื่องจากเอลีฮูอายุน้อยที่สุด จึงต้องคอยจนกว่าทุกคนพูดจบเสียก่อน แต่พอเขาเห็นว่าชายทั้งสามตอบโยบไม่ได้ ก็โกรธ จึงพูดว่า

                ฉันยังหนุ่มแน่นแท้ท่านแก่เฒ่า        ไม่กล้าเล่าคิดอย่างไรไฉนนี่

รำพึงว่าท่านควรเผยเอ่ยวจี                                 วัยวุฒิมีควรประกาศฉลาดแสดง

เป็นเพราะพระวิญญาณจิตทรงฤทธิ์กล้า         เสด็จมาปัญญาให้ชนทุกแห่ง

หาใช่ฉลาดเพราะชราปัญญาแรง                    หรือรู้แจ้งใดถูกต้องคล่องเพราะวัย

ฉันอยากให้ท่านยั้งฟังถ้อยฉัน                          จะบอกท่านว่าในจิตคิดไฉน

ฉันอดทนฟังถ้อยรอคอยไป                               ท่านค้นได้คำคมกล้ามาวิจารณ์

ตั้งใจฟังยินท่านพลั้งพูดเผลอพล่อย                โยบกล่าวถ้อยท่านไม่ทักหรือหักหาญ

พบปัญญาอย่าไรแจ้งแถลงการณ์                     ทรงตอบโยบเพราะท่านนั้นผิดคำ

โยบพูดกับท่านไซร้มิใช่ฉัน                              ไม่เหมือนท่านตอบโยบครันฉันไม่พร่ำ

โยบต้องจำนวนท่านพลันนิ่งงำ                        เขาตอบคำท่านไม่ได้ให้หมดทาง

จะให้คอยชั่วกาลนานเท่าใด                             เมื่อเขาไซร้ต้องเงียบงันสุดสรรอ้าง

เขายินอยู่ที่นั่นไปใจคิดพลาง                            จะพูดอย่างไรกันตื้นตันจริง

ฉันจะตอบท่านละ ณ บัดนี้                                ในชีวีคิดอย่างไรไม่อุบนิ่ง

ฉันอดรอพูดไม่ไหวใคร่ท้วงติง                        เหมือนถุงหนังใส่เหล้าองุ่นกรุ่นเต็มปรี่

ยับยั้งใจไม่สำเร็จเสร็จสักที                                ในครั้งนี้จะบอกพูดออกมา

ฉันไม่พูดเข้าข้างใครให้ว้าวุ่น                           ไม่เกื้อหนุนคนใดให้ล้ำหน้า

ฉันยอคนไม่เป็นหรอกบอกตรงนา                  ถ้าฉันกล้าทำพระองค์จะลงทัณฑ์

  

บทที่ 33 เอลีฮูต่อว่าโยบ

                โยบฟังฉันเพ้อพร่ำจำให้ดี                 พูดสิ่งที่อยู่ในใจไม่บิดผัน

ฉันพูดจากใจจริงยิ่งสำคัญ                                 ถ้อยเสกสรรครบถ้วนล้วนแต่จริง

เพราะพระวิญญาณสร้างฉันมา                        เติมชีวาให้ชีวีมีค่ายิ่ง

ถ้าตอบได้จงตอบมาอย่างประวิง                      อย่าเฉยนิ่งเตรียมโต้แย้งแข่งคารม

โยบในสายเนตรพระเจ้าของเรานั้น                ทรงเห็นท่านเท่าเทียมฉันมั่นเหมาะสม

ทรงสร้างเราทั้งสองราพาชื่นชม                      เคล้าผสมจากผงคลีธุลีดิน

ไร้เหตุผลดลใจให้กลัวเกรง                               ตัวฉันเองอำนาจเหนือมิเหลือล้น

ท่านกล่าวถ้อยเช่นนั้นฉันได้ยิน                       ไม่เคยชินกับความผิดไม่คิดทำ

ฉันพิสุทธิ์จริงใจไร้บาปหนา                             พระเจ้าหาข้อแก้ไขไว้ยีย่ำ

พระเจ้าจำทำร้ายฉันท่านก่อกรรม                    พระองค์ทำเหมือนฉันเป็นเช่นศัตรู

ทรงล่ามเท้ารัดตรึงดึงฉันไว้                              มองชิดใกล้ทุกย่างเท้าเฝ้าจ้องอยู่

โยบคิดผิดถนัดแน่แท้คอยดู                               พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งกว่ามนุษย์เรา

เหตุไฉนไยกล่าวโทษโกรธพระองค์               ที่ไม่ทรงฟังมนุษย์ไม่หยุดเล่า

พระเจ้าตรัสหลายวิธีมานานเนา                       หาใครเอาใจใส่ฟังยังไม่มี

พระเจ้าตรัสทางนิมิตอันยาวยืน                        ยามกลางคืนมนุษย์หลับซบกับที่

พระองค์สั่งฟังดำรัสตรัสให้ดี                           พวกเขานี้กลัวยิ่งนักคำตักเตือน

พระเจ้าตรัสดำรัสย้ำเลิกทำบาป                        อีกทั้งหยาบหยิ่งกระไรหาใดเหมือน

ไม่ยอมให้ถูกทำลายกลายเลอะเลือน               ไม่แชเชือนช่วยเขารอดปลอดบาปกรรม

ทรงแก้ไขมนุษย์เช่นให้เป็นโรค                      ต้องทุกข์โศกปวดร้าวกายมิว่ายพร่ำ

คนป่วยกินไม่อร่อยด้อยรสนำ                           แม้เขาทำอาหารเยี่ยมต้องเตรียมคาย

ร่างกายผ่ายผอมซูบผิดรูปร่าง                            ผิวหนังบางหุ้มกระดูกถูกเนื้อหาย

เกือบจะต้องชีพปลิดชีวิตวาย                            สู่ความตายที่แคว้นแดนมรณา

                บางทีทูตสวรรค์เอื้อช่วยเหลือกัน     หนึ่งในพันทูตพระเจ้าเข้ามาหา

คอยตักเตือนแถลงแจ้งกิจจา                              มนุษย์พากันรู้ดีหน้าที่ตน

ทูตสวรรค์กล่าวพลางอย่างปรานี                      เอ่ยวจี ปล่อยเขาไปในแห่งหน

อย่าให้สู่แดนมรณาพาทุกข์ทน                         สินไถ่ตนค่าตัวเขา มาเอาไป

ร่างกายเขากลับหนุ่มแกร่งแข็งแรงนัก            พระเจ้าจักตอบคำวอนสุนทรไข

เขากราบก้มบังคมทรงระเริงใจ                         ธ ทำให้กลับถูกต้องทำนองธรรม

เขากล่าวต่อหน้าชนคนทั้งหลาย                      ฉันมิวายทำบาปหยาบเรื่อยร่ำ

ฉันไม่ทำสิ่งถูกต้องจ้องก่อกรรม                       การุญล้ำไว้ชีพฉันไมบั่นทอน

ทรงไม่ส่งแคว้นแดนมรณา                                มีชีวาประทานให้อยู่ไปก่อน

พระเจ้าทรงทำเช่นนี้ที่อาทร                             ไม่ตัดรอนครั้งแล้วเล่าเฝ้าเมตตา

ชีพมนุษย์พระองค์ท่านทรงช่วย                       ชื่นชมด้วยจิตใสใจหรรษา

โยบจงฟังที่ฉันพรรณนา                                    เงียบวาจาปล่อยฉันสรรถ้อยคำ

ถ้าท่านมีอะไรเล่าจงกล่าวเถิด                           ยินดีเลิศรับวจีที่พูดพร่ำ

ถ้าไม่มีจงนิ่งนั่งฟังพูดนำ                                   จะสอนซ้ำว่าฉลาดปราชญ์อย่างไร

 

บทที่ 34 เอลีฮูแสดงว่าพระเจ้าทรงเป็นฝ่ายถูก

                ท่านฉลาดชนิดหัวคิดคล่อง               ฟังคำของฉันย้ำให้จำได้

ว่าอาหารดีเมื่อชิมอิ่มเอมใจ                                บอกได้ไหมถ้อยฉลาดเมื่ออาจยิน

เราเป็นผู้ตัดสินให้ในเรื่องนั้น                          โยบยืนยันว่าเขานี้พิสุทธิ์สิ้น

พระเจ้าสิ้นความเป็นธรรมนำชีวิน                  สมดังจินตนาแท้แก่เขาเลย

เขาว่า ฉันจะมุสากล่าวหาความ                       ฉันผิดทรามอย่างไรได้เฉลย

ฉันบาดเจ็บปางตายฉันไม่เคย                           มีบาปเกยเกาะกุมมาสุมตัว

                ท่านเคยเห็นใครเป็นเช่นโยบหนา  ไม่ลดราวาศอกพาลไปทั่ว

เขาเป็นเพื่อนคนชั่วช้าพามืดมัว                        เขาพันพัวเที่ยวปนคนบาปตาม

พยายามทำไม่ละพระประสงค์                          ของพระองค์ดีขึ้นไหมใคร่ขอถาม

ท่านเข้าใจฉันพร่ำร่ำข้อความ                            สิ่งผิดทรามหรือพระองค์จะทรงทำ

พระองค์ปูนบำเหน็จชอบมามอบให้               แก่ชนในสิ่งก่อกิจผลิตพร่ำ

ทำต่อเขาอย่างที่เขาเฝ้ากอปรกรรม                   กิจที่ทำควรรับตอบตามชอบใจ

ธ ทรงฤทธิ์ไม่ทำความชั่วแท้                              ไม่เคยแม้อยุติธรรมลำเอียงให้

หรือทรงรับอำนาจอยู่จากผู้ใด                           หรือใครให้ ธ รักษาโลกหล้านี้

ถ้าทรงเรียกลมหายใจคืนไปสิ้น                        ทุกชีวินมลายกลายเป็นผี  

กลับเป็นดินคืนถิ่นปฐพี                                     สูญชีวีวอดวายสลายปลง

                ท่านฉลาดก็จงฟังดังฉันกล่าว           ว่าพระเจ้าชังยุติธรรมล้ำเลิศส่ง

ท่านปรักปรำพระเจ้าหรือคนซื่อตรง               ธ จะลงโทษกษัตริย์ด้วยราชทัณฑ์

เมื่อเหลวไหลปล่อยตัวชั่วนักหนา                    ธ สร้างมาทุกคนไซร้ไม่แปรผัน

ไม่เข้าข้างผู้ครองเมืองเฟื่องสำคัญ                   หรือแบ่งชั้นคนมั่งมีดีกว่าจน

ยามคืนค่ำคนอาจตายวายชีวี                              ทรงเฆี่ยนตีมนุษย์ดับย่อยยับป่น

ประหารคนล้นอำนาจขาดชีพชนม์                 ทรงผจญโดยไม่ยากลำบากใจ

พระเจ้าเฝ้ามนุษย์ตามยามก้าวย่าง                     มืดมัวรางหาที่หลบไม่พบได้

คนบาปปล้นซ่อนตนพ้น ธ ไป                         มืดเพียงใดไม่พอปลีกหลีกลี้ตน

ธ ไม่กำหนดเวลาให้มนุษย์                                ต้องรีบรุดรับติดฉันตัดสินผล

ไม่จำเป็นต้องสืบสวนทวนวกวน                     เพื่อถอดพ้นและตั้งใหม่ให้ผู้นำ

ทรงรู้ว่าเขาก่อกรรมทำใดบ้าง                           ถอดเขาพลางขยี้ไซร้ในคืนค่ำ

ลงโทษคนบาปให้เห็นเป็นประจำ                   เขาเลิกทำตาม ธ พระบัญชา

เขาบังคับคนยากไร้ให้ร้องทูล                           ขอเกื้อกูลพระสำหนียกเสียงเรียกหา

ถ้าพระองค์ตกลงพระทัยไม่นำพา                    ใครไม่กล้าว่ากล่าวองค์พระทรงฤทธิ์

ถ้าพระองค์ทรงซ่อนซบหลบพระพักตร์        มนุษย์จักหมดหวังวายสลายสิทธิ์

ชาติต่างต่างทำอย่างไรใจครุ่นคิด                     ให้พ้นอิทธิพลคนรังแก

                โยบสารภาพบาปต่อ ธ หรือละเลย  แล้วท่านเคยสัญญาไว้ไม่ทำแน่

หรือขอชี้ความผิดไซร้มาให้แล                         หรือยอมแก้ไขตัวชั่วเลิกล้ม

การกระทำของพระเจ้าไม่เห็นพ้อง                 จะหวังปองสิ่งต้องการนั้นไม่สม

ตัดสินเองใช่ฉันขืนให้ชื่นชม                           เอ่ยคารมบอกสักนิดคิดอย่างไร

                ชนใดมีเหตุผลพร้อมย้อมเห็นด้วย   ชนฉลาดฉวยโอกาสฟังยังกล่าวได้

โยบพูดอย่างคนเขลาไม่เข้าใจ                           กล่าวคำใดไม่ได้ความตามตำรา

เอาวจีที่โยบพร่ำมาคำนึง                                    จะเห็นซึ้งพูดเช่นชนคนชั่วช้า

ไม่ยอมเลิกล้มบาปหยาบมายา                            ดูหมิ่นว่าพระเจ้าหนอต่อหน้าเรา

 

บทที่ 35 เอลีฮูแสดงว่าพระเจ้าทรงเป็นฝ่ายถูก (ต่อ)

                โยบพูดไม่ถูกว่าท่านนั้นพิสุทธิ๋         เลิศมนุษย์ในสายตาพระเป็นเจ้า

หรือย้อนถามพระเจ้าว่าบาปข้าเนา                  มีผลเข้ากระเทือนพระเจ้าหรือกระไร

ข้าพระองค์ไม่ทำบาปกลับไม่เห็น                    ผลดีเด่นแก่ข้าพาหมองไหม้

ฉันตอบท่านกับเพื่อนลองมองฟ้าไป               เมฆสูงไกลเพียงไหนกันพลันล่องลอย

ธ ไม่เป็นฉันใดแน่แม้ท่านบาป                         ถึงหยามหยาบมากอยู่มิรู้ถอย

จะกระเทือน ธ หรือนั่นให้ท่านพลอย            ชอบธรรมคอยช่วย ธ หรือไรกัน                                     

ธ ไม่ต้องการอะไรในท่านดอก                         เพื่อนท่านหรอกรับทุกข์สาปเพราะบาปสรรพ์

และความดีที่ท่านทำล้ำค่าครัน                          ช่วยพวกนั้นด้วยคุณธรรมและความดี

                คนใดถูกข่มเหงเอาเขาคร่ำครวญ     ร้องไห้หวนขอใครช่วยด้วยอึงมี่

ไม่หันหาพระผู้สร้างทางชีวี                              ผู้ให้มีพลังกล้าครามืดมัว

ไม่หา ธ ผู้ให้ตนเป็นคนฉลาด                           ซึ่งเปรื่องปราดกว่านกไซร้สัตว์ใดทั่ว

ธ ไม่ตอบคำร้องขอรอช่วยตัว                            เพราะเขาชั่วเย่อหยิ่งนักชักลำพอง

ไร้ประโยชน์จะร้องขอต่อพระองค์                 พระผู้ทรงฤทธิ์ไม่ฟังทั้งไม่จ้อง

โยบว่าไม่เห็นพระเจ้าคอยเฝ้ามอง                    อดทนลองคอยคดีที่พระองค์

ท่านคิดว่า ธ ไม่ทรงลงโทษทัณฑ์                     บาปมหันต์ไม่สนใจปล่อยไปส่ง

ไร้ประโยชน์พูดต่อไปไม่พะวง                        เห็นชัดคงพูดพร่ำไปไม่รู้เลย

  

บทที่ 36 เอลีฮูยกย่องความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

                อดทนฟังหน่อยค่อยเอ่ยเผยวจี          ฉันพูดนี้เห็นแก่ ธ จะไม่เฉย

ความรู้ฉันกว้างขวางเหมือนอย่างเคย              จะเปิดเผยใช้สิ่งสรรพที่ฉันมี

มาชี้ให้เห็นพระองค์ทรงยุติธรรม                    ทั้งถ้อยคำไม่มีใดไม่จริงอยู่

จะเห็นฉันฉลาดไซร้ให้คอยดู                           ฉันเป็นผู้เปรื่องปราดแน่อย่างแท้จริง

พระเจ้าทรงเข้มแข็งแกร่งเพียงใด                    ไม่เหยียดใครทรงเข้าใจในทุกสิ่ง

ไม่ปล่อยคนบาปมีชีพรีบท้วงติง                       คนจนยิ่งยุติธรรม ธ บำเรอ

ทรงพิทักษ์คนชอบธรรมตามทำนอง               ให้ขึ้นครองเหมือนกษัตริย์ตรัสเสนอ

ให้รับเกียรติปรากฏยศเลิศเลอ                          อยู่เสมอตลอดไปให้ยาวนาน

แต่ผู้ถูกล่ามโซ่ตรวนต้องครวญคร่ำ                  เพราะตนทำจำทนทุกข์จนพล่าน

พระเจ้าชี้ให้เห็นบาปหยาบสามานย์               ความทะยานหยิ่งจองหองของเขาพลัน

ทำให้เขาฟังคำเตือนมิเลือนไกล                       แล้วหลีกไปจากชั่วบาปหยาบมหันต์

ถ้าเขาเชื่อรับใช้องค์พระทรงธรรม                  จะสุขสันต์อยู่สงบพบรุ่งเรือง

ไม่เชื่อฟังก็ต้องตายวายชีวี                                 ไม่เมืองผีอย่างคนเขลาเอาแต่เซื่อง

คนไม่มีพระเจ้าเฝ้าโกรธเคือง                           คอยหาเรื่องเกรี้ยวกราดหน้าไม่ว่าใคร

แม้ถูกลงโทษภัยไม่ทูลขอ                                   เขาไม่รอความช่วยเหลือเอื้อเฟื้อให้

ยามเมื่ออายุเยาว์เขาสิ้นใจ                                  ชีพหมดไปด้วยอับอายขายหน้าตา

ธ ใช้ความทรมานร้าวรานร้อน                         มาสั่งสอนมนุษย์ชนคนในหล้า

ใช้ความทุกข์โศกเศร้าเผาอุรา                            ปิดดวงตามนุษย์ไว้ให้มืดมัว

ธ นำท่านจรดลพ้นทุกข์ยาก                               ให้ท่านมากด้วยชื่นใจปลอดภัยทั่ว

โต๊ะอาหารเต็มล้นขนจากครัว                           บัดนี้ตัวท่านรับทัณฑ์อันสมควร

สินบนอย่ายอมให้ล่อใจหวัง                             ความมั่งคั่งอย่านำจิตหลงผิดถ้วน

การร้องขอความช่วยเหลือเพื่อรบกวน            ไม่ดีด่วนขึ้นมาได้ดังใจปอง

ณ บัดนี้กำลังวังชานั้น                                        ก็ช่วยท่านมิได้ไม่สนอง

อย่าร่ำหาเวลาค่ำนำมาครอง                              เป็นวารของชาติต่าง ๆ ร้างมลาย

ระวังตัวอย่ามัวหันผูกพันชั่ว                             มาเกลือกกลั้วชีวิตหายห่างทางทราม

นึกดูว่า ธ ทรงฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่                         ทรงเป็นครูเหนือครูไซร้เกินใครหยาม

หามีใครสั่งพระเจ้าให้ทำตาม                           หรือหาความว่าทรงทำชั่วบำเพ็ญ

ปวงชนพลันสรรเสริญเยินยอองค์                   ในสิ่งทรงทำบ่อยพลอยแลเห็น

ท่านก็ต้องยกย่องไท้ในประเด็น                       ไม่วายเว้นสรรเสริญและเยินยอ

ทุกคนเห็นกิจกรรมทรงทำไป                           หามีใครเข้าใจหมดจดเลยหนอ

รู้ไม่ได้ไท้ยิ่งใหญ่แค่ไหนพอ                            หรือคอยรอ ปี เดือน ทรงนับดู

                ธ เอาน้ำนำจากพื้นผืนแผ่นดิน         เปลี่ยนแปลงสิ้นเป็นหยาดฝนหลั่งล้นอยู่

ทรงบันดาลให้ฝนหล่นพรั่งพรู                        จากเมฆหมู่สู่ชนจนฉ่ำเย็น

หาใครรู้เมฆลอยไปอย่างไรกัน                         หรือฟ้าลั่นร้องฉันใดไม่แลเห็น

สายฟ้าแลบแปลบฟ้าไกลทรงเป็นเป็น            ทะเลเร้นลึกลงคงมืดมัว

ธ ทรงเลี้ยงข้าวปลาประชาชน                          ทรงเปรอปรนอาหารเผื่อเหลือเฟือทั่ว

ทรงฉวยคว้าสายฟ้าไว้ไม่หวั่นกลัว                   ด้วยหัตถ์ตัวพระองค์เองไม่เกรงใคร

และบัญชาให้ผ่าลงตรงเป้าหมาย                     ฟ้ากระจายเสียงก้องร้องบอกให้

ได้รู้ว่าพายุมี ณ ที่ใด                                            ฝูงสัตว์ไซร้ต่างรู้ว่าพายุมา

 

บทที่ 37 เอลีฮูยกย่องความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ต่อ)

                พายุทำให้ใจเต้นเป็นตีกลอง             พวกท่านต้องฟังสุรเสียงสำเนียงตรัส

พระเจ้าสั่งดังจากโอษฐ์โปรดให้ชัด                ฟังถนัดปานเสียงก้องฟ้าร้องครัน

ธ บันดาลให้ฟ้าแลบแปลบข้ามฟ้า                   สุดโลกหล้าด้านหนึ่งถึงหนึ่งด้านนั้น

ต่างได้ยินสุรเสียงสำเนียงครัน                         ก้องสนั่นฟ้าแลบร้องคะนองดัง

สิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นมาเห็นปรากฏ                      ทรงกำหนดบัญชาชี้มีรับสั่ง

จนพวกเราไม่เข้าใจสงสัยจัง                             พระองค์สั่งหิมะพรูร่างสู่ดิน

น้ำเชียววนเพราะฝนหลั่งล้นไหล                    ทรงทำให้คนหยุดงานการทั้งสิ้น

ทำให้เขาเห็นภาระทรงอาจิณ                           เป็นนิจสินงานทำอยู่ร่ำไป

ปวงสัตว์ป่าหลบไปอยู่ในถ้ำ                              ดายุซ้ำกระหน่ำจัด พัดจากใต้

ความหนาวเหน็บจากทางเหนือเบื่อกระไร    ลมหายใจกลายเป็นน้ำแข็งเย็น

ฟ้าแลบจากเมฆลอยคล้อยเวียนวน                   ทุกแห่งหนทั่วโลกไซร้มิได้เว้น

ต่างทำตามพระประสงค์คงให้เป็น                  ฝนกระเซ็นพระองค์ดลหล่นร่วงมา

อาจให้ลงโทษมนุษย์มิหยุดได้                           หรือทรงให้เห็นว่าท่านโปรดปรานหนา

โยบหยุดยั้งฟังฉันเอ่ยเผยวาจา                          พิจารณาสิ่งอัศจรรย์ทรงสรรค์ทำ

พระเจ้าทรงบัญชาอยู่ท่านรู้ไหม                       ทำไฉนให้ฟ้าแลบแปลกปลาบซ้ำ

ไฉนเมฆลอยฟ้าได้ใครชักนำ                            พระเจ้าทำราชกิจฤทธิ์อัศจรรย์

ท่านไม่รู้ต้องทนร้อนรนไป                               ลมทางใต้พัดทวีมิเหหัน

ท่านช่วยพระองค์กางฟ้าได้หรือไรกัน            ทำให้มันเท่าโลหะ ธ ขัดเงา

สอนเราให้ทูลขอต่อพระองค์                           สมองคงตื้อกระไรพูดใดเล่า

ไม่ทูลขอให้ได้เผยเอ่ยพจน์เพรา                       ไยจะเฝ้าเปิดทางองค์ทรงทำลาย

                บัดนี้แสงส่องฟ้านครพร่าง               สุดสว่างกระจ่างจ้าพาสมหมาย

สะอาดฟ้าพายุพัดสะบัดสบาย                          แสดงทองกรายส่องด้านเหนือเรื่อเรืองไกล

พระสิริพระเจ้าไซร้ทำให้หวั่น                         ฤทธาอันใหญ่ถนัดมิอาจใกล้

ทรงจัดการกับมนุษย์พิสุทธิ์ใจ                           เที่ยงตรงให้ตามดำริยุติธรรม

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เคยเห็น                              ทุกคนเร้นหลบกลัวตัวสั่นร่ำ

ธ ไม่สนพระทัยใส่ใจจำ                                     คนเลิศล้ำคำว่าฉลาดเป็นปราชญ์เอย

 

บทที่ 38  พระเจ้าทรงกระทำให้โยบสำนึกถึงความโง่เขลา

                พระเจ้าตรัสแก่โยบจากพายุว่า

พระเจ้า

                เจ้าเป็นใครไยถามหาปัญญาเรา        ยิ่งถามเข้าโง่เง่าแจ้งแสดงใหญ่                       

ยืนขึ้นเตรียมตอบคำถามข้อความใน                ที่เราไซร้จะถามเจ้าเค้าคดี

เมื่อเราสร้างโลกามานานครัน                           เจ้าอยู่นั่นหรือไฉนอย่างไรนี่

ขอบอกเราบ้างเถิดหนาถ้ารู้ดี                            ใครเล่าที่ให้โลกใหญ่แค่ไหนกัน

คนขึงสายวัดโลกไซร้คือใครเล่า                       ตัวของเจ้ารู้เรื่องนี้ดีหรือนั่น

หลักค้ำโลกตั้งอยู่ได้สิ่งใดยัน                            หินสำคัญมุมโลกาใครมาวาง

ยามอรุณรุ่งสางสว่างฟ้า                                     ดวงดาราพร้อมบรรเลงเพลงมิสร่าง

บรรดาบุตรพระเจ้าร้องกู่ก้องพลาง                  ตะโกนอย่างยินดีสุดปรีดา

น้ำทะเลใครปิดอยู่ประตูขัง                               เมื่อไหลหลั่งจากท้องโลกโชกโชนซ่า

เราปกคลุมหุ้มทะเลด้วยเมฆา                            ห่อรักษาในความมืดที่ชืดมัว

กำหนดเขตทะเลนี้มีที่อยู่                                    หลังประตูเก็บลงกลอนไม่คลอนรั่ว

เราสั่งมัน อยู่แค่นี้อย่าลี้ตัว                                อย่าเที่ยวทั่วให้ไกลไปกว่าเดิม

คลื่นอันทรงพลังยั้งหยุดนี่                               ชั่วชีวีโยบเคยหวังสั่งวันเริ่ม

ให้ถึงยามอรุณรุ่งมุ่งประเดิม                             หรือเคยเสริมสั่งฟ้าสางสว่างมา

และเขย่าจนคนชั่วยิ่งกลัวมาก                           ออกมาจากที่ซ่อนตัวมัวหลบฟ้า

กลางวันให้เห็นหุบเขาเด่นพราวตา                 รอยพับผ้าเสื้อเป็นเช่นเดียวกัน

แสงสว่างยามกลางวันนั้นแจ้งไป                     สำหรับให้คนชั่วทรามต่ำมหันต์

ป้องกันมิให้เขาทำก่อกรรมพลัน                      คิดการอันรุนแรงแจ้งความคด

                เจ้าเคยหรือไปถึงซึ่งตาน้ำ                  ในทะเลลึกล้ำเหลือกำหนด

หรือบนพื้นสมุทรใหญ่ไกลเกินพจน์              เคยเดินลดเลี้ยวลิ่วบนผิวน้ำ

มีใครเคยชี้ให้ดูประตูนั้น                                   ที่ปิดกั้นเมืองผีทั่วมัวเหมือนถ้ำ

รู้ไหมโลกใหญ่แค่ไหนให้เผยคำ                     จงตอบย้ำถ้อยมาถ้ารู้ดี

                เจ้ารู้ไหมแสงสว่างพร่างจากไหน    หรือมืดไซร้เจ้ารู้แห่งตำแหน่งที่

ต้องไปไกลแค่ไหนไขวจี                                   ส่งมันนี้สกลับไปหรือไรกัน

เรามั่นใจเจ้าเหลือล้ำทำได้แน่                           เพราะเจ้าแก่ชรากาลนานแล้วนั่น

เมื่อเราสร้างโลกไซร้ใหญ่ยิ่งครัน                    ตัวเจ้านั้นเกิดกายมีชีพชีวา

                เจ้าหรือเคยไปดูห้องท้องพระคลัง   ที่เราขังหิมะเก็บลูกเห็บหนา

เรากักเตรียมยามยากลำบากมา                           ในเวลาศึกสงครามตามผจญ

เจ้าเคยไปตรงที่สุริยัน                                         เริ่มผายผันขึ้นหรือไรให้ฉงน

หรือไปยังแหล่งลมจัดพัดเวียนวน                   เป็นลมบนตะวันออกพัดนอกใน

                ใครขุดช่องให้ฝนไหลผู้ใดสร้าง      และเตรียมทางให้พายุมุพัดใหญ่

ใครเป็นคนให้น้ำฝนล้นหลั่งไป                      ตกลงในสถานที่ไม่มีคน

ใครทำให้ดินแห้งหายกลายชุ่มน้ำ                   มิหนำซ้ำหญ้างอกงามตามแห่งหน

มีผู้ให้เกิดฝนครันบันดาลดล                             น้ำค้างหล่นจากฟ้ามาหรือรี

ใครทำให้เจ้านี้มีน้ำแข็ง                                     น้ำค้างแกร่งเกาะกลุ่มก้อนมิอ่อนไหว

เปลี่ยนน้ำให้เป็นหินหมดสิ้นไป                      และทำให้พื้นสมุทรจุดแข็งตัว

                หรือเจ้ามัดดาวลูกไก่ให้เป็นกลุ่ม      หรือเครื่องคุมผูกดาวไถแก้ไขทั่ว

หรือนำดาวหลายอย่างต่างพันพัว                    มาแยกตัวตามหมู่ฤดูกาล

หรือนำทางดาวจระเข้ไม่เหหัน                        ทั้งหมดนั้นใหญ่น้อยเคลื่อนคล้อยผ่าน

เจ้ารู้กฎสวรรค์ไหมได้บันดาล                           ไยจัดการเอามาใช้ในโลกา

                เจ้าตะโกนสั่งเมฆลอยคล้อยสับสน  ให้เทฝนลงได้ไหมในพื้นหล้า

หรือเจ้าสั่งให้ฟ้าแลบแปลบปลาบตา               มันมาหาแล้วกล่าวว่า มาแล้วครับ

ใครบอกนก้อนย้ำว่าน้ำล้น                                น้ำเอ่อท้นท่วมน้ำไนล์ใครเคี่ยวขับ

หรือบอกไก่ตัวผู้ไว้ให้รอรับ                              ฝนเกินนับจะตกต้องนองพื้นริน

ใครฉลาดอาจบัญชาเมฆาได้                             ให้หลั่งไหลเทฝนล้นทั่วถิ่น

ชโลมหล่อพอเพื่อเมื่อพื้นดิน                            แข็งปานหินจับซ้อนเป็นก้อนกลาย

หรือสิงโตกินอาหารที่เจ้าหา                             อาจนำมาให้ลูกอ่อนผ่อนกระหาย

มันอิ่มท้องไว้ก่อนนอนสบาย                            เมื่อซ่อนกายรอในถ้ำเหยื่อล้ำเลย

ใครเล่าเลี้ยงนกกาหาให้กิน                              เมื่อมันบินวนดูมิอยู่เฉย

เพราะความหิวจำเป็นเหมือนเช่นเคย              ลูกอ่อนเปรยร้องขออาหารเรา

 

บทที่ 39 พระเจ้าทรงกระทำให้โยบสำนึกถึงความโง่เขลา (ต่อ)

                แพะภูเขาเกิดเมื่อใดใครรู้บ้าง           คอยเฝ้ากวางตกลูกไซร้หรือไรเจ้า

หรือเจ้ารู้ย่ามกวางตกลูกดกเนา                         เจ้าคอยเดานับเดือนดูรู้เวลา

เจ้ารู้ยามตกลูกพลันมันซบร่าง                          ลูกอ่อนช่างแข็งกระไรอยู่ในป่า

มันออกไปลัดเลี้ยวเที่ยวพนา                             เพลินอุราเลยลับไม่กลับคืน

                ลาป่ามีเสรีได้เพราะใครกัน               ใครปล่อยมันท่องเที่ยวไปใจชุ่มชื่น

ทะเลทรายให้เป็นบ้านนานยั่งยืน                    ที่ราบรื่นอยู่ดินเค็มอย่างเต็มใจ

มันอยู่ไปไกลเมืองเรื่องอึกทึก                           หาใครฝึกให้มันเชื่อรู้เรื่องได้

ใครไม่อาจมาจับบังคับใจ                                   กดขี่ให้ทำงานการไม่ยอม

มีภูเขาเป็นเพื่อนเสมือนมิตร                             อยู่ใกล้ชิดเหมือนทุ่งหญ้าในนาห้อม

มันพบหญ้าใบเขียวสดไม่อดออม                     หญ้าอ่อนหอมและเล็มหาเอามากิน

                ฝูงควายป่าทำงานให้เจ้าได้หรือ       เจ้าควายดื้อยอมค้างไหมในคอกสิ้น

ใช้เชือกจูงมันไถได้หรือในดิน                        ทุ่งนาถิ่นมันคราดให้หรือไม่ทำ

เจ้าพึงพากำลังมันสรรงานหนัก                       มันโหมหักทำให้ไหมในงานต่ำ

เจ้าหวังให้มันนำข้าวเจ้าปลูกดำ                        เกี่ยวกับงำจากลานได้มาให้ตน

กระจอกเทศกระพือปีกอีกเพียงไร                   เร็วแค่ไหนก็เห็นไม่เป็นผล

บินไม่ได้เช่นนกกระสาพาอับจน                     ติดลมบนเหินฟ้านภาลัย

นกกระจอกเทศมาไข่ไว้บนดิน                         ความร้อนรินพักไข่พอขออาศัย

ไม่รู้ว่าไข่ของมันจะบรรลัย                                อาจมีภัยเพราะสัตว์ป่ามารังแก

มันทำเหมือนไม่ใช่ไข่ของมัน                           ไม่ห่วงสรรพ์ตั้งใจไว้ไร้ผลแน่

เราเป็นผู้ทำให้มันนั้นเปลี่ยนแปร                    กลายโง่แท้ขลาดเขลาเบาปัญญา

พอมันวิ่งย่างเหยาะก็เยาะม้า                             หัวเราะร่าเย้ยคนขี่ทำที่ท่า

โยบหรือทำให้ม้าแข็งแกร่งกายา                      แผงคอม้าปลิวไสวไกวตามลม

หรือเจ้าทำให้มันโดดโลดเต้นไป                     ดูว่องไวเหมือนตั๊กแตนแสนสุขสม

เสียงหายใจดังสนั่นลั่นระงม                            คนซานซมซบตระหนกตกใจกลัว

มันกระทืบพื้นดินถิ่นหุบเขา                             กระโจนเข้าอย่างกระหายเอากายกลั้ว

สู่สนามรบประชันเข้าพันพัว                            เอาแรงตัวโถมใส่ไม่เคยเกรง

ไม่มีดาบเล่มใดทำให้มัน                                    หน้าเหหันกลับมาได้ให้ข่มเหง

คนขี่ถืออาวุธด้วยช่วยตัวเอง                              ประกายเปล่งต้องแดดวาวพราวตาแล

ม้าทะยานไปข้างหน้าพาตัวสั่น                        มันอดกลั้นตื่นเต้นไว้ไม่ได้แน่

เมื่อได้ยินเสียงเขามาเป่าแตร                             มันยืนแน่นิ่งไม่ไหวใจระรัว

มันทำเสียงฟืดฟาดบาดหัวใจ                            ยามเมื่อได้ฟังแตรเป่าเร่งเร้าทั่ว

ได้กลิ่นไอสงครามก่อนย้อนใกล้ตัว                 เสียงดังรัวนายทหารสั่งการกัน

เหยี่ยวหัดบินจากเจ้าหรือกล่าวอ้าง                  เมื่อมันกางปีกบินไปทางใต้นั่น

หรือว่านกอินทรีฟังเจ้าสั่งครัน                         ให้รังมันอยู่ยอดผาสูงกว่าเดิม

บนยอดเขาสูงสุดนั้นมันทำรัง                           เหินแหลมยังกำลังด้วยมาช่วยเสริม

เป็นปราการเข้มแข็งแรงคอยเติม                      ช่วยพูนเพิ่มพลังอยู่ดูทั่วไป

มันเฝ้าดูทั้งใกล้ไกลไม่หยุดพัก                         จะคอยดักสัตว์เอามาฆ่ากินได้

ฝูงแร้งรุมซากสัตว์กัดชอนไช                           ลูกแร้งไซร้ดื่มเลือดหมดคล้ายอดโซ

 

บทที่ 40 ฤทธานุภาพของพระเจ้าปรากฏ

พระเจ้า

                โยบ เจ้าท้าทายพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์      จะรับผิดแพ้หรือใคร่ได้ตอบโต้

โยบ

                ข้าแต่พระเจ้าสูงเด่นเป็นมากโข       ข้าพูดโง่งมเขลาเบาปัญญา               

ข้าพระองค์จะตอบได้อย่างไรเล่า                     ไม่ขอเฝ้ากล่าวคำใดให้ขายหน้า

พยายามไม่รำพันจำนรรจา                                 เอ่ยถ้อยมามากเกินไปไม่ได้ความ

                แล้วจากลมพายุ พระเจ้าตรัสแก่โยบอีกว่า

พระเจ้า

                ยืนขึ้นอย่างชายชาตรีที่องอาจ           อย่ามัวขลาดตอบต่อซึ่งข้อถาม

เจ้าพิสูจน์เรานักหนาพยายาม                           ว่าไร้ความยุติธรรมย้ำวจี

โดยกล่าวโทษโกรธเราเลยกล่าวหา                  แล้วเจ้าว่าเจ้าถูกแท้แน่หรือนี่

เจ้าแข็งแรงเท่าที่เราหรือจึงถือดี                       หรือเสียงมีดุจฟ้าร้องก้องเหมือนเรา

เป็นเช่นนั้นจงลุกขึ้นยืนมั่นคง                         ระวังตรงต่างภูมิใจหาใดเท่า

เกียรติปรากฏมิบรรเทา                                       เจ้าจงเอามาหุ้มกายไว้เชิดชู

มองดูผู้หยิ่งผยองจองหองครัน                         จงโกรธกันและทำให้ถ่อมใจอยู่

เห็นเขาแล้วให้โค่นลงจงมองดู                        ขยี้ผู้ชั่วช้าลงตรงยืนเนา

จับเขาฝังทั้งมัดไว้ในเมืองผี                               แล้เรานี้จะสรรเสริญเยินยอเจ้า

ยกย่องเป็นคนแรกแปลกที่เรา                           ยอมรับเอาว่าเจ้านี้ฝ่ายมีชัย

                ดูสัตว์ใหญ่ เยเฮโมท โลดถลา           เราสร้างมารวมเจ้าจงอย่าสงสัย

มันกินหญ้าเหมือนวัวย้ำตามหทัย                     อนามัยแข็งเหลือกล้ามเนื้อเกร็ง

หางมันชี้คล้ายที่ต้นสีดาร์                                   กล้ามเนื้อขาแกร่งกล้าทีท่าเก่ง

กระดูกคล้ายทองสัมฤทธิ์พิศเพ่งเล็ง                ขาแข็งเกร็งเหมือนเหล็กท่อนไม่อ่อนแอ

สัตว์ประหลาดที่น่าทึ่งตะลึงดู                           มีพระผู้สร้างเองไซร้ปราบได้แน่

ภูเขาที่สัตว์ร้ายอยู่มันดูแล                                  หญ้าอ่อนแท้เขาเก็บเกลี้ยงมาเลี้ยงมัน

มันนอนอยู่ใต้ต้นหนามขึ้นลามรก                   หลบกอกกซุกห้วยหนองคลองบึงนั่น

ต้นตะไคร้ริมธารน้ำซ้ำป้องกัน                         ต้นหนามกั้นต่างร่มเงาเข้ากำบัง

มันไม่กลัวน้ำเชี่ยววิ่งกลับนิ่งเงียบ                   น้ำเย็นเฉียบพุ่งใส่หน้าซ่าไหลหลั่ง

ใครจะทำตาบอดดับทั้งจับยั้ง                             วางกับตั้งดักจมูกมันใครนั้นทำ

 

บทที่ 41

                ใช้เบ็ดตก เลวีอาธาน ได้ฉันใด         หรือใครใช้เชือกลากลิ้นให้ปลิ้นซ้ำ

เอาเชือกสนตะพายได้ใครชักนำ                      เอาเบ็ดย้ำเกี่ยวคางได้ใครจัดการ

มันขอเจ้าหรือไม่ให้ปล่อยตัว                            หรือร้องรัวขอเมตตาน่าสงสาร

มันตกลงวาจาสัญญามาน                                   ตลอดกาลจะรับใช้หรือไรนา

ทำกับมันเหมือนนกเลี้ยงกล่อมเกลี้ยงยิ่ง         หรือเหมือนสิ่งให้สาวใช้เพลินใจหนา

ชาวประมงซื้อมันขอต่อราคา                            พวกพ่อค้าตัดท่อนขายฉันใดกัน

หรือเจ้าเอาฉมวกปักชะนักหนัง                       ใช้หลาวตั้งแทงหัวจนตัวสั่น

จับมันดูแล้วไม่ปองแตะต้องครัน                     เจ้าสู้กันครั้งนี้ไม่มีเลือน

                คนใดเห็น เลวีอาธาน กล้าหาญสิ้น  ล้มลงดิ้นหมดแรงกลับขยับเคลื่อน

เมื่อถูกแหย่แร่เข้าใส่ใครกล้าเยือน                   ร้ายป่าเถื่อนหาใครรอต่อหน้าตา

ทำร้ายมันตนจะรอดปลอดภัยหรือ                   หาใครดื้อทำได้ในทุกหล้า

บอกเรื่องเขา เอวีอาธาน เราขานมา                  ใหญ่นักหนากล้าแกร่งแข็งเพียงไร

หามีใครกระชากหนังชั้นนอกออก                 หรือแทงซอกทะลุเจาะเกราะสวมใส่

ใครทำให้มันอ้าปากยากเหลือใจ                      มีฟันใหญ่อยู่ทั่วน่ากลัวจริง

หลังของมันมีโล่เรียงเคียงติดแน่น                   เป็นแถวแล่นแข็งปานหินทมิฬยิ่ง

แต่ละอันติดกันแน่นเป็นแผ่นพิง                     หายใจนิ่งลมไม่ผ่านซ่านออกมา

มันติดกันสนิทดีไม่มีใคร                                    มาทำให้หลุดเพริดจนเปิดอ้า

เมื่อมันจามมีแสงแลบแปลบปลาบมา               ในตวงตาวามเหมือนแสงแห่งสุรีย์

ประกายไฟปลิวว่อนร่อนจากปาก                    ควันพลุ่งจากจมูกมันเหมือนควันที่

เขาสุมหญ้าลุกอยู่ดูมากมี                                    เปลวไฟที่ลุกลามนั่น มันหายใจ

ไฟแลบเลียจากปากมันร้อนแรง                       คอมันแกร่งคนเห็นมันต่างหวั่นไหว

ผิวหนังแข็งกระด้างเหมือนอย่างหิน              ไม่กลัวสิ้นสิ่งใดใครเผยอ

แข็งไม่ยอมน้อมอ่อนผ่อนบำเรอ                      แกร่งเสมอเหมือนหินแท่งโม่แป้งทำ

เมือมันลุกขึ้นมาจ้องมองหน้าเอา                      เทพเจ้าถ้วนทั่วหวาดกลัวซ้ำ

ไม่มีดาบแหลนหลาวลูกธนูนำ                          มาทิ่มตำทำร้ายมันนั้นได้เลย

สำหรับมันเหล็กอ่อนไปคล้ายฟางนิด             ทองสัมฤทธิ์เหมือนไม้ผุรุทิ้งเฉย

ไม่มีลูกธนูใดที่ได้เคย                                          มาเสียบเสยให้มันวิ่งหนีจริงจัง

ก้อนหินที่ขว้างไม่ยั้งทั้งท่อนไม้                       มันเห็นคล้ายกับเศษฟางมาวางตั้ง

มันหัวเราะคนพุ่งหอกออกประดัง                   คนมุ่งหวังให้หอกล่าเข่นฆ่ามัน

กรงเล็กมันเหมือนเศษเครื่องกระเบื้องแตก   ดินเหนียวแหลกมันตะกุยลุยผายผัน

มันกวนน้ำทะเลซ่านเดือดพล่านครัน             เหมือนน้ำมันในกาผุดปุดเป็นฟอง

บนทางเดินทิ้งประกายฉายแวววับ                   เป็นแสงจับตามหลังมาคราแลจ้อง

เปลี่ยนทะเลเป็นฟองขาวพราวละออง            มันผยองลำพองใหญ่ไปทุกครา

หาสิ่งใดในโลกเปรียบเทียบมันได้                  มันผยองลำพองใหญ่ไปทุกที่

หาสิ่งใดในโลกนี้เปรียบมันได้                         เป็นสัตว์ไม่กลัวอะไรเพราะใจกล้า

มันเหยียดหยามสัตว์หยิ่งไซร้ไม่สร้างซา        เป็นเจ้าป่ายิ่งใหญ่ในสัตว์ทั้งปวง                    

                               

บทที่ 42 โยบยอมสารภาพ และพระเจ้าทรงรับ

โยบ

                โอ้พระเจ้าข้าขอกราบเพราะทราบดี   ว่าทรงมีอำนาจกล้าหล้าแหล่งสรวง

ทำทุกสิ่งที่ประสงค์ไว้ในทรวง                         ให้ลุล่วงสำเร็จสมอารมณ์ปอง

พระองค์ตรัสถามว่า ข้าพระองค์                     กล้าเจาะจงไล่เลียงหาปัญญาผ่อง

ของพระเจ้าได้อย่างไรใฝ่ตรึกตรอง                 เมื่อข้าผองไม่รู้เรื่องสืบเนื่องความ

ข้าจะพูดถึงสิ่งซึ่งมหัศจรรย์                               ใหญ่มหันต์เกินความรู้มีผู้ถาม

ได้อย่างไรถึงแม้นจะพยายาม                            ในเมื่อความเข้าใจข้าไม่มี

พระองค์ตรัสสั่งซ้ำฟังคำไว้                               คิดครวญใคร่ตอบคำถามตามหน้าที่

ข้าพระองค์จะรู้แน่แต่สิ่งมี                                 ตามวจีคนอื่นเล่าเท่านั้นเอง

บัดนี้ข้าเห็นพระองค์ชัดถนัดตา                       กล่าววาจาข้าอายใจได้อวดเก่ง

ข้าขอกลับใจในกองฝุ่นละเลง                          มอบตนเองนิจเนากองเถ้าเอย

สรุป

                หลังจากที่พระเจ้าได้ตรัสแก่โยบแล้ว พระองค์ตรัสแก่เอลีฟัสว่า

                “เราโกรธเจ้ากับเพื่อนอีกสองคนของเจ้า เพราะเจ้าไม่ได้กล่าวถึงเราตามที่เป็นจริง เหมือนโยบผู้รับใช้เรากล่าวถึงเรา จงเอาวัวผู้เจ็ดตัวและแกะผู้เจ็ดตัวไปให้โยบ เขาจะได้ถวายเป็นเครื่องบูชาสำหรับตัวเอง โยบจะอธิษฐานให้เจ้า เราจะตอบคำอธิษฐานของเขา และจะไม่ทำให้เจ้าขายหน้าตามที่เจ้าสมควรจะได้รับ เจ้าไม่ได้พูดถึงเราตามที่เป็นจริงเหมือนดั่งโยบ

                เอลีฟัส บิลดัด และโศฟาร์ ก็ทำตามที่พระเจ้ารับสั่ง และพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของโยบ

                เมื่อโยบอธิษฐานให้เพื่อนทั้งสามคนแล้ว พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้โยบเจริญรุ่งเรืองอีก ประทานทุกสิ่งให้เขามีมากเป็นสองเท่าของที่เคยมีมาแต่เดิม พี่น้องและเพื่อนฝูงเดิมทั้งหมดของโยบมาเยี่ยมและเลี้ยงฉลองกันที่บ้านโยบ ต่างแสดงความเห็นใจและปลอบใจเขาที่พระเจ้าให้เขาได้รับความทุกข์ยากทั้งหมดนั้น ต่างเอื้อเฟื้อ ให้เงินแ ละให้แหวนทองคำแก่โยบ

                พระเจ้าทรงอวยพรชีวิตบั้นปลายของโยบมากกว่าที่พระองค์ทรงอวยพรตอนแรก มีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6000 ตัว ลา 1000 ตัว เขามีบุตรชาย 7 คน บุตรสาว 7 คน และตั้งชื่อบุตราวคนโตว่า เยมีมาห์ คนที่สองว่าเคสิยาห์ และบุตรสาวคนสุดท้องว่า เคเรนหัปปุค ไม่มีหญิงคนใดในโลกที่สวยเท่าลูกสาวโยล โยบแบ่งมรดกให้ลูกชายของเขาทุกคน

                หลังจากนั้นโยบมีชีวิตอยู่อีก 140 ปี นานพอที่จะเห็นลูกหลานของเขา เขาถึงแก่กรรมเนื่องชรา